Dcondo Groovy Condo KJ place dorm list news

ประสบการณ์ใน Abac ของเด็กที่โง่แต่มีความพยายาม...."คุณไม่ได้อยู่คนเดียว"

  • 5 Replies
  • 11488 Views

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

*

money129

  • Newbie
  • *
  • 2
สิ่งที่ผมจะแบ่งปันเป็นประสบการณ์ในการเรียน เอแบค ระยะเวลา 5 ปี นะครับ
เหตุผล เนื่องจากในช่วง ปี สอง ปีแรก ผมเหมือนคนเคว้งคว้าง ไม่มีคนแนะนำการเรียนให้ผม มองไปมีแต่ความมืด รวมถึงปัญหาหลายๆอย่างที่รุมเร้า ทำให้ผมเป็น โรคแพนิค (panic disorder) ลามไปถึง โรคซึมเศร้า และอยากฆ่าตัวตาย

ปี1 เทอม 1
ผมมาสมัคร เอแบคช้า ไปประมาณ 5 วันก่อนเปิดเทอม เพราะผมลังเล ระหว่างเลือก คณะที่ชอบ กับ คณะที่สามารถหางานได้ง่ายกว่า รวมถึงมหาวิทยาลัย
ซึ่งทำให้ ปี1 เทอม1 ผมต้องเรียน Intensive course รวมถึง Basic – Math และ จะมีการสอบเกิดขึ้น ถ้าสามารถผ่านไป English I ก็จะได้ เรียน 2 ตัว คือ 6 เครดิต..ซึ่งระกับสมองของผม ผมจึงสอบได้แค่คะแนน Basic-English II จึงสามารถ เรียนได้ 1ตัว คือ 3 เครดิต ซึ่งวิชาที่ผมได้เรียนคือ Business Law I เพื่อนร่วมชะตากรรมก็คือ เพื่อน Intensive course ส่วนใหญ่ที่ไม่ผ่าน และ อาจารย์ที่สอนก็มาจาก หัวหมาก
พอเกรดออก…. ชะตาฟ้าลิขิตเล่นตลกกับผม ผมได้ F เพราะฉะนั้น GPA ของผมจึงเป็น 0.00 ในเทอมแรก

ปี1 เทอม 2
เนื่องจากติดโปร ทำให้ผมสามารถ ลงได้แค่ 12 เครดิต ในช่วงเวลานั้น ผมและรูมเมท ต่างเครียดกับสิ่งที่ผ่านมา คุยกันทุกคืนถึงความคาดหวังจากทางบ้านที่กดดันเข้ามา สมัครเรียนพิเศษในวิชาที่ไม่เข้าใจ เพราะรูมเมทพาไป แต่ผมก็รู้สึกมันไม่จำเป็น แค่สมัครและไปเอาชีทมาอ่าน แต่มันไม่ได้เป็นอย่างใจหวัง พอเกรดออก ผมตก English I รวมถึง Drop วิชา World Civil ทำให้ผม เก็บได้ 6 เครดิต
GPA รวม ปีแรกของผม 6 เครดิต เท่านั้น

ปี2 เทอม 1
ในช่วงหลังจากผ่านพ้นปีแรก ผมและรูมเมท มีความคิดไปในทางเดียวกันว่า ย้ายมหาลัยดีไหม ? ไป ม.กรุงเทพ มั๊ย? เพราะว่าเพื่อนผมหลายคนก็ลาออกกันเป็นแถวๆ หลังจากจบแค่ ปี1 เทอม 1 แต่นิสัยผมก็ตัดสินใจสู้ต่อโดยที่ไม่รู้ว่าอนาคตจะจบเมื่อไหร่ คิดแค่ว่า เรามีเวลาตั้ง 8 ปี จะกลัวอะไร เทอมนี้ผมสามารถลงได้ 12 เครดิต คือ 4 ตัว แต่ความโง่ของผม เข้าใจว่าตัว เรียนกี่ตัวคือจำนวนเครดิต โดยที่ผมไม่ได้สนดูว่า ตัวนั้น 0 เครดิต หรือ 3 เครดิต ซึ่งผมลงไป 4ตัว แต่ เป็น 0 เครดิต 1 ตัว เท่ากัลป์ผมลง 9 เครดิต และผมตก Statistic I จึงเก็บได้ 6 เครดิต
ในระยะนี้ผมเครียดมาก เพราะว่าผมติดโปรมาหลายเทอมแล้ว และ มีจดหมายส่งไปถึงทางบ้าน ทำนองว่าให้กวดขัน ให้ผมขยันมากขึ้น. และทุกครั้ง เวลาผมกลับบ้าน ก็จะได้รับการกดดันแบบทางอ้อมว่า “รีบจบนะ พ่อเหนื่อยแล้ว” ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ผมเครียดและกังวลตลอดเวลา.

ปี2 เทอม 2
ผ่านพ้นครึ่งทางของชีวิตมหาลัย 4 ปี รวมซัมเมอร์ ผมเก็บได้แค่ 15 เครดิตเท่านั้น ซึ่งเทียบกับเพื่อนผมในรุ่นเดียวกัน ก็เก็บได้ประมาณ 50-60 ทำให้ผมรู้สึกว่าผมต้องทำอะไรแล้ว เทอมนี้ผมลงไปเต็มที่ 18 เครดิต แบบไม่มีอะไรจะเสีย เข้าเรียน จด lecture ไม่ขาด ถ้าไม่ตาย ถึงกินเหล้า เมามาย ก็ไปเรียน เรียนพิเศษด้วย ทำทุกอย่าง ผมเก็บได้ 15 เครดิต จาก 18 เครดิต
แต่ว่า สิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ผมเกิดอาการ panic attack ซึ่งทำให้ผมกลัว และคืนนั้น นอนโรงพยาบาล 1 คืน และคืนนั้นเองเป็นสาเหตุในการเกิดโรคที่ผมไม่รู้จักต่อเรื่อยมา

ปี3 เทอม 1
เนื่องจากผมได้ยินใครหลายคนว่า ลง 18 ก็เก็บได้ไม่หมด ผมจึงลงแค่ 15 เครดิต และทำทุกอย่างตามเดิมอย่างที่ผมเคยทำ วิชาไหนไม่เข้าใจ ให้เพื่อนติว หรือถามอาจารย์ท้ายคาบ รวมถึงเรียนพิเศษ และไปเรียน…ผมเก็บได้ 15 เครดิตในเทอมนี้

ปี3 เทอม 2
ความรู้สีกเก่ง รู้สึกพยองในความฉลาดของตัวเองว่าเก็บได้ทุกตัว ถึงแม้ผมจะโกหกตัวเอง ผมลง 18เครดิต แต่ผมเก็บได้แค่ 15 เครดิต ซึ่งผมตัดสินใจผิดพลาด ทำให้แผนที่วางว่าผมสามารถจะจบ 4 ปีครึ่งได้ต้องเลื่อน เพราะ ในช่วงผมเรียนมี special session ด้วย แต่พอผม ดรอปทุกอย่างก็จบ และในเทอมนี้ผมได้ไปขอ ให้อาจารย์ท่านนึง เซนต์ใบ petition เพื่อให้ผมลงเรียนในวิชาที่ ผมเครดิตไม่ถึง ซึ่งเครดิตรวมตอนนั้นผม 48 แต่วิชาที่ผมอยากเรียนคือ 90 เหตุผลง่ายๆเลย คือ ผมมีความรัก แต่สิ่งที่เป็นแรงผลักดันในปีนี้คือ การที่ผมได้คุยกับอาจารย์ท่านนั้น ทำให้ผมเข้าใจอะไรหลายๆอย่าง ทั้งการใช้ชีวิต รวมถึงความกดดัน อาจารย์บอกผมอยู่คำนึงซึ่งเป็นคำที่ไม่ได้สวยหรูแต่ผมใช้เป็นแรงผลักดันตัวเอง “Average ของเด็กเอแบคอยู่ที่ 5.5”  มันทำให้ผมรู้สึกว่า เฮ้ย เราก็มีโอกาสนิ และหลังจากสัปดาห์นั้นผมกลับบ้านไปอธิบายให้ทางบ้านเข้าใจถึงมหาลัย ว่ามันยากกว่า มหาลัยอื่นๆ ผมก็ไม่สามารถบอกได้หรอกมันยาก มันท้อแค่ไหน แต่มันยากมาก มันเหนื่อยมาก …ทางบ้านเข้าใจผม อาจารย์ท่านนั้นคือ “อาจารย์ สุวรรณา แห่ง คณะ มาร์เก็ตติ้ง” และสิ่งที่น่าจะทำให้ที่บ้านเข้าใจก็อาจจะเป็นเพราะ ในจำนวน 15 เครดิตที่ผมเก็บได้ เป็น English IV ซึ่งทำให้ผมผ่านขุมนรกที่เกาะขาผมอยู่ 

ปี4 เทอม 1
ช่วงปี4เทอม1 เป็นอะไรที่เหนื่อยสุดตั้งแต่ผมลงวิชาเรียน ผมลง 19 เครดิต และแต่ละตัวค่อนข้างยากในระดับหัวสมองผม และสิ่งที่พ่วงมาคือ ผมได้เข้าเป็น marketing committee รุ่น23 ทั้งงาน ทั้งการเรียนเข้ามาถาถมทุกอย่างในปีนี้ , จัดค่าย,เฮด,ออกค่าย,จัดงานต่างๆ ซึ่งผมก็ยังทำตามสิ่งที่ผมคิดว่าถูกคือ เข้าเรียน ตั้งใจ จด ไม่เข้าใจก็ถามอาจารย์ หรือรวมถึงเรียนพิเศษ และสิ่งที่ผมตลกคือ ผมเก็บได้ 19เครดิต…แม้เกรดผมจะไม่สวยหรูแต่ผมยอมรับว่า “โคตรภูมิใจ”

ปี4 เทอม 2
เฉกเช่นเคย ผมยังดำรงอยู่ใน marketing  committee ทุกๆอย่างก็เหมือนเดิม เรียน , กิจกรรม ซึ่งผมก็คุ้นเฉยกับกิจกรรมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เรื่องเรียนนี่สิที่เป็นภาษาอังกฤษและตัวยากขึ้นด้วยๆ ตามชั้นปี แต่จบปีนี้ผมก็เก็บมาได้ 18 เครดิต  และเนื่องด้วยอาการแพนิค ทำให้ผมกลัวเป็นโรคหัวใจ ผมจึงไปพบหมอหัวใจ และได้รับยามารักษา

ปี5 เทอม 1
ความรู้สึกที่สบาย เก็บได้ 18 เครดิตติดต่อกันรู้ตัวว่าต้องทำอะไร , นัดไหนผมไป , ติวไหนผมไป , พิเศษที่ไหนดีผมไป แต่ผมดันโชคร้ายและยังโง่ในตัวเลข ผมดรอปวิชาที่ผมคิดว่ายากสุด “Managerial Accounting” ผมจึงเก็บได้แค่ 15 เครดิต แต่สิ่งที่มันเจ็บปวดคือ ตอนสอบ Mid-Term จู่ๆ ผมก็มีอาการแพนิค กำเริบในห้องสอบ ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้น อาการของผม ณ ตอนนั้น ผมมือชา ตามมาด้วย หายใจเข้า แต่ติดตรงหน้าอก ตัวเย็น เหงื่อแตก.. ผมจึงตัดสินใจลุกไปอาจารย์อธิบายให้แกฟัง แต่แกไม่เข้าใจคิดว่าผมต้องการจะโกงข้อสอบ เพราะผมบอกว่ายาผมเก็บไว้ในรถ แต่ความโชคร้ายของผมก็มีความโชคดี ที่ อาจารย์ที่เดินอยู่แถวหน้าห้อง เข้าใจโรคแพนิคที่ผมเป็นมากกว่าอาจารย์คุมห้องสอบ แกเลยยินยอมให้ผมไปเอายาที่รถ โดยมีพี่ยาม ขี่มอเตอร์ไซด์ ไปส่งผมและรอผม และผมก็มาสอบ…ในระหว่างทางผมรู้สึกรักมหาลัยนี้ขึ้นมาจับใจ ในสิ่งที่ทุกคนทำให้ผมมันมีค่ามากในช่วงเวลานั้น ตัดกลับมาที่ห้องผมนั่งอยู่บนเตียงผม นั่งคิดแต่ความทรมานที่เกิดขึ้น และ ทำไมต้องเกิดขึ้นกับผม ทำไมต้องในห้องสอบ ทำไมต้องเป็นผม ผมหยิบโทรศัพท์โทรหาแฟนผมและเล่าอาการให้เธอฟัง และผมก็บอกว่า “ลาก่อนนะ ไม่ไหวแล้ว” แล้วผมก็วางสาย สมองตอนนั้นผมไม่รับรู้อะไรจริงๆ มันว่างเปล่า ผมไปที่ระเบียง ผมคิดว่าถ้าผมโดดไปทุกอย่างจบ ไม่ต้องทรมานแบบนี้อีก ไม่ต้องร้องไห้เสียใจอีก… แต่จู่ๆ ก็มีความคิดแวบเข้ามาในหัวว่า ผมยังโชคดีกว่าใครหลายคนนิ? ทำให้ผมได้สติกลับมา และ ผมตัดสินใจแหกกฎของนิสัยคนไทยที่ว่า ไปพบจิตรแพทย์ คือ คนบ้า…ผมจึงไปพบจิตรแพทย์ รวมกับ พ่อและแม่ เพราะท่านทราบในสิ่งที่ผมเป็น ผมก็ได้รับการรักษา โรคที่ผมเป็นก็คือ panic disorder ซึ่งเป็นโรคของสารหนึ่งในหัวเราคือ ซีโทเทนิน ไม่สมดุล ทำให้เกิดอาการตกใจกลัวสุดขีด รวมถึงผมยังติดต่อกับอาจารย์ฝ่ายกิจการนักศึกษาที่ดูแล ให้คำปรึกษานักศึกษาเกี่ยวกับสภาวะต่างๆ คือ อาจารย์แหม่ม และพอเกิดเรื่องผมก็ทำเรื่องสอบแยกตามคำแนะนำของอาจารย์และการตัดสินใจของผมเอง และผมก็เข้าทางธรรม สวดมนต์ นั่งสมาธิ เข้าใจสัจธรรมมากขึ้น
ปล.ขอโทษนะครับ จำชื่อจริงอาจารย์ไม่ได้เลย

ปี5 เทอม 2
ทุกๆอย่างปกติ การเรียนไปด้วยดี ส่วนเรื่องอาการป่วยของผมก็มีมาเป็นระลอกๆ แต่อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก จะมีอยู่แค่ 1-2 ครั้งที่ผมอยากตาย เนื่องจากมีปากเสียงกันอย่างรุนแรงในครอบครัว ซึ่งผมรู้สึกโดนหักหลัง ในคืนนั้น ผมเอาสายฝักบัวในห้องน้ำรัดคอผม หายใจไม่ออก สำลักทุกอย่าง ร้องไห้ แต่ผมได้ แฟนผมช่วยเตือนสติไว้…

หลังจากนั้น ผมก็จบจาก เอแบคได้โดยสวัสดิภาพ 5 ปี

สิ่งที่ผมเล่ามาอาจจะไม่ได้ดีไม่ได้ช่วยอะไร แต่สิ่งที่ผมเจอ ผมไม่มีใครแนะนำ ไม่มีใครช่วยผม ไม่มีทางออกให้ผม ผมเข้าใจทุกอย่างที่เกิดขึ้น ผมอยากจะช่วยทุกๆอย่าง กับน้องๆที่เคยอยู่ในจุดแบบผม ผ่านพ้นมันไปได้ ทั้งในเรื่องเรียน , โรค ของผม เพราะผมเข้าใจว่าตอนที่เรารู้สึกท้อในเรื่องต่างๆที่เราไม่มีทางออก ทำไมเราช่างโดดเดี่ยว ผมอยากจะบอกว่า คุณยังมีเพื่อนอยู่ ผมเป็นแบบคุณ คุณไม่ได้อยู่คนเดียว.


หวังว่าสิ่งที่ผมแชร์จะช่วยใครหลายคนนะครับ ผมขอขอบคุณ พี่เอิร์ธ ที่แนะนำมาให้แชร์ในนี้
หากมีใครอยากติดต่อผม ผมยินดีช่วยจากใจครับ



Line Id :moneyosk
ผมชื่อเงินนะครับ , จะเรียกให้ไฮโซก็ มันนี่ ก็ได้ ครับ อิอิ
ID ผม 5412353

ข้อมูลโรคที่ผมเป็นอยู่นะครับ
http://www.cumentalhealth.com/%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84-Panic.html

« Last Edit: January 21, 2020, 05:43:52 PM by money129 »

*

aot

  • Guest
ผมก็ 5 ปี ครับ

แต่ผมไม่ได้เป็น committee ช่วงปี 5 เทอม 1 กะ 2 ชีวิตโล่งมาก  ทำให้มีเวลาเตรียมเรื่อง term project + อ่านหนังสือ อะไรได้เยอะ

*

Bb66

  • Hero Member
  • *****
  • 101
อ่านแล้วมีข้อสงสัยอ่ะค่ะ
ตอนปี1เทอม1 ที่บอกว่าเก็บได้0หน่วยกิต
ทำไมคุณไม่re-enterหรือรีรหัสอ่ะค่ะ

อีกข้อคือ ปัจจุบันคุณก็ยังเรียนไม่จบใช่มั๊ยคะ
แล้วเรื่องเกรด มีการติดโปรบ้างรึป่าวคะ
 
« Last Edit: June 06, 2016, 11:44:08 AM by Bb66 »

*

Money osk

  • Guest
1.คือ ณ ช่วงเวลานั้นไม่รู้จักคำว่า Re-enter ครับ และ ไม่มีความจำเป็นที่ต้อง รีอะครับ ผมว่าแก้ F ได้
2.และช่วงเวลานั้นเข้าใจจากเพื่อนว่า เทอมแรกไม่นับ gpa ติดโปรต่ำ 2 เทอม โปรสูง 4 เทอม

ใช่ครับตอนนี้ยังไม่จบครับ รอเกรด การติดโปรก็มีตลอดครับ สลับไปเรื่อยๆ ครับ

*

PCLB

  • SuperStar Member
  • ******
  • 508
  • Gender: Male
อืม อ่านวนไป 2 รอบละ
อย่าหาว่าเราสอนเลยนะ
อยากจะบอกว่าคุณมาถูกทางแล้ว ที่เลิกคิดฆ่าตัวตาย
เราเองก็เป็นคนหนึ่งที่คิดจะฆ่าตัวตาย ตอนที่เอ็นไม่ติดมหาวิทยาลัยในฝัน แต่ภายหลังกลับมาหวนคิดอีกครั้งหนึ่งว่าไม่ดีกว่า กระโดดตึกตายไปแล้วจะได้อะไร ใครจะมาเห็นคุณค่าจากการฆ่าตัวตาย เราคิดต่อไปว่าผลลัพธ์ที่ตามมามีแต่แย่กับแย่ พ่อแม่เราจะเสียใจขนาดไหน และอย่างที่ทราบกันดีว่าพระพุทธศาสนาสอนให้คนเรายึดมั่นในอริยสัจ 4 รวมถึงสอนให้ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ฆ่าตัวตายไปก็มีแต่จะบาปมหันต์ เพราะถือว่าไม่รักตัวเอง แล้วจะมีปัญญาไปรัก ไปดูแลใครได้

ดีใจที่ จขกท.ดึงสติกลับมาได้ เราเชื่อว่าไม่ได้มีแค่ จขกท.ที่เป็นโรคนี้  เราและเพื่อนๆ เอแบคหลายคนก็เป็น แต่เป็นกันแบบอ่อนๆ อาการจะออกมาชัดตอนเริ่มทำข้อสอบ โดยเฉพาะข้อสอบยากๆชวนปวดกบาลอย่าง Man Act นั่นแหละ ทำไป ทดเลข กดเครื่องคิดเลขไปนี่มือสั่น กลัวตัวเลขไม่ดุล

จะบอกอีกว่าเป้าหมายที่มีความรักมาเกี่ยวข้อง อย่างทำเพื่อคนที่เรารัก (เช่น พ่อแม่ หรือ แฟนคุณ) ก็เป็นเรื่องที่ดีนะ มีผลอย่างมากในการจบการศึกษา เพราะรู้ว่าตัวเองจะต้องทำไปเพื่อใคร แล้วเพื่ออะไร นับเป็นเรื่องปกติที่ไม่มีคนมาเตือนเพราะถือว่าการอยู่ในสังคมมหาวิทยาลัย เราต้องเติบโตไปได้ด้วยตนเอง ไม่มีใครช่วยเราได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ทั้งนั้นเรายังจำเป็นต้องพึ่งเพื่อนฝูงในยามทุกข์ยาก เพื่อนเองก็มีส่วนช่วยให้เราจบได้เหมือนกัน คือ องค์ประกอบในการจบมันไม่ได้มีแค่เรียนเก่งหรือความขยันอย่างเดียวอ่ะ อาจารย์ เพื่อนร่วม sec การวางแผน บลาๆ อะไรอย่างงี้มีผลหมด

เราว่าเรียนที่เอแบคนี่ให้อะไรเราหลายอย่างนะ ในเรื่องของภาษาที่ใช้อย่างเหมาะสม การพึ่งพาตนเอง รู้จักธรรมชาติของผู้อื่น เนื้อหาวิชาเรียน กิจกรรม การเข้าสังคมการปรับตัวเข้ากับคนพาล การควบคุมสติ การมีวินัยต่อตนเองและผู้อื่น และอีกสารพัดดดดด

สรุปคือเรียนเอแบคดีและ ถ้าตั้งใจอ่ะ  ไม่ติดเพื่อน ติดแฟน ติดเที่ยว ติดนู่นนี่นั่นจนเกินไป ไม่จำเป็นต้องเรียนมหาวิทยาลัยรัฐดังๆ ก็จบได้อย่างมีความสุขได้เช่นกัน

แอบเวิ่นเว้อไปนิดแต่เราเข้าใจ จขกท.เป็นอย่างดีและขอเป็นกำลังใจให้สู้ต่อไป โรคร้ายแรงแค่ไหนก็สู้ได้ถ้ามีกำลังใจที่ดี
ก่อนจากกันวันนี้ขอฝากธรรมะเบื้องต้นให้ท่องไว้ตลอดชีวิต คือ ' สุขและทุกข์อยู่ที่ตัวเรา ' กับ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน =  อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ."
ธรรมะสวัสดี

ปล.วันหลังน่าจะตั้งชมรม " ABAC alone" เพราะเห็นนักศึกษาที่นี่หลายคนเป็นแบบนี้เยอะเหลือเกิน เผื่อๆจะได้เพื่อนใหม่ และช่วยเหลือกันได้ อิอิ
« Last Edit: June 09, 2016, 11:43:20 AM by PCLB »

*

BKny

  • Guest
พี่ค่ะ อยากสอบถามค้า พอดีว่าเทอม1/2016 ได้เกรดมา 1.33 แล้วเทอม 2/2016 ได้ประมาณ 1.8 ยังงี้จะโดนรีเอนเทอร์ไหมค่ะ