Midterm Summary
ก่อนประวัติศาสตร์ของเมืองไทย
ผู้อยู่อาศัยในยุคแรกและอารยธรรม
Anthropologist – นักมานุษยวิทยา
– studies about culture of mankind
– ศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมของมนุษย์
Archeologist- นักโบราณคดี
– studies about the ancient civilization, rely on scientific analysis
– ศึกษาเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณ โดยพึ่งพาการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์
Geologist – นักธรณีวิทยา
– Studies about the history and the development of earth’s crust, rocks and strata.
– ศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และการพัฒนาของเปลือกโลก ก้อนหิน และ ชั้นหิน
Historian- นักประวัติศาสตร์
– studies and write about the history
– ศึกษาและเขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
Linguist – นักภาษาศาสตร์
– studies about the root of languages
– ศึกษาเกี่ยวกับรากศัพท์
Sociologist – นักสังคมศาสตร์
– studies about the nature of human
– ศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์
Evolution of Human Being วิวัฒนาการของมนุษย์
Ape-man Meat Eaters Hunters Food Gatherers Tool Makers (Stone Age)
มนุษย์วานร สัตว์กินเนื้อ นักล่า รู้จักเก็บอาหาร ทำเครื่องมือใช้เอง (ยุคหิน)
Stone Age: There was no written language. People used tools and weapons that made from stone. There are 3 periods according to Stone Age;
ยุคหิน: ในยุคหินยังไม่มีภาษาเขียน คนเราใช้เครื่องมือและอาวุธที่ทำจากหิน
ยุคหินสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วงเวลา
1. Old Stone Age /Paleolithic Period ยุคหินเก่า
– Pale- (คำเสริมหน้า) หมายถึง เก่าแก่
– 500,000 -10,000 years before
– Cavemen and Apemen was called in technical term, Proto Austrraloids.
ชื่ออย่างเป็นทางการของมนุษย์ถ้ำและมนุษย์วานรคือ Proto Australoids.
– During World War II, a Dutch archeologist named Van Heckeren found Uniface Axe at Kwae Noi, Kanchnaburi, when the war finished, he sent it to USA to identify. The result came out that it was an axe used by cavemen(Java).
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่2 นักโบราณคดีท่านหนึ่งชาวดัชนามว่า Van Heckeren ค้นพบขวานที่แควน้อยจังหวัดกาญจนบุรี หลักจากสงครามสงบลง เขาส่งขวานไปที่อเมริกาเพื่อตรวจสอบ สรุปออกมาได้ว่ามนุษย์ถ้ำ (ชวา) ใช้ขวานนั้น
– After that Mr. Fritz Sarasin (American) came along Thailand and also found uniface axe at Kwae Noi. He named it Siamian Tools. Then, the historians called it in technical term, Fingonian.
หลังจากนั้น Mr. Fritz Sarasin (ชาวอเมริกัน)มาที่ประเทศไทยและค้นพบ Uniface Axe ที่แควน้อย เขาจึงเรียกมันว่า Siamian Tools (เครื่องมือของชาวสยาม) ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการคือ Fingnoian
– And there we found the same kind of axe in North America, we called Tomahawk. It was used by Red Indians.
มีการค้นพบขวานประเภทเดียวกันทางอเมริกาตอนเหนือ เราเรียกมันว่า Tomahawk โดยชาวอินเดียนแดงเป็นผู้ใช้ขวานประเภทนั้น
2. Middle Stone Age/ Mesolithic Period ยุคหินกลาง
– Meso- (คำเสริมหน้า) หมายถึง กลาง
– 12,000 – 5,000 years before
– At Sai Yok Waterfall, Kanchanaburi, the archeologists found a complete skeleton in a grave. There were tools and animal bones under the skeleton. Moreover, there was red dust on the skeleton so they expected that the man may believe in reincarnation or resurrection. He could become alive again because of the red dust. We also found that the graves like this in France which showed the same belief.
ที่น้ำตกไทรโยก จังหวัดกาญจนบุรี นักโบราณคดีเจอโครงกระดูกแบบสมบูรณ์ในสุสาน ข้างใต้โครงกระดูกมีเครื่องมือและกระดูกสัตว์ ดังนั้นนักโบราณคดีจึงเชื่อว่าคนพวกนั้นเป็นักล่า นอกจากนั้นยังมี Red dust บนโครงกระดูกดังนั้นพวกเขาคาดเดาว่า คนพวกนั้นอาจจะเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิด red dust จะทำให้คนพวกนั้นกลับมาเกิดได้อีกครั้ง นอกจากนี้พวกเรายังเจอสุสานในแบบเดียวกันนี้ที่ฝรั่งเศส
3. New Stone Age/ Neolithic Period ยุคหินใหม่
-Neo- (คำเสริมหน้า) หมายถึง ใหม่
-Dr. Sud Saengvichien, Thai archeologist, found 50 skeletons in the graveyard at Baankao, Kanchanaburi. It indicates that people started to live in a community.
Dr. Sud Saengvichien นักโบราณคดีชาวไทยพบโครงกระดูก 50 โครงที่สุสานที่ Baan Kao จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนเราเริ่มมีการอยู่กันเป็นสังคม
– We called them Baankaoians.
เราเรียกพวกเขาว่า Baankaoians.
– We expected those people might be farmers, observed from grains, seeds and animal bones near the skeleton.
เราคาดว่าคนพวกนั้นอาจจะเป็นชาวนา โดยดูจากเมล็ดพืชและกระดูกสัตว์ใกล้กับโครงกระดูก
– Dr. Sud asked dentists to do the anatomy test with those skeletons and found that they are similar to us. So he assumed that those skeletons might be the skeletons of Thai ancestors.
Dr. Sud ให้ทันตแพทย์เช็คกระดูกพวกนั้นและได้ค้นพบว่ากระดูกพวกนั้นมีความคล้างคลึงกับพวกเรา เขาจึงสันนิษฐานเอาว่าโครงกระดูกพวกนั้นเป็นโครงกระดูกบรรพบุรุษของคนไทย
– We found cave wall paintings in E-san at Pa tam, Khong Jiem.
– เราเจอภาพศิลปะบนฝาผนังถ้ำในอีสานที่ Patam, Khong Jiem.
Metal Age: There was some written language. People use tools and weapons that made from metal. There are 3 periods according to Metal Age;
ยุคโลหะ: ยุคโลหะเริ่มมีภาษาเขียนแล้ว คนเราใช้เครื่องมือและอาวุธทำจากโลหะ
ยุคโลหะสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วงเวลา
1. Copper Age – copper was the first metal ยุคทองแดง
– ทองแดงเป็นโลหะชนิดแรก
2. Bronze Age – The invention of wheels, sailboats, potter’s wheels ยุคทองสัมฤทธิ์
– การประดิษฐ์ของล้อ เรือใบขนาดเล็ก จานหมุนสำหรับทำเครื่องปั้นดินเผา
3. Iron Age – The end of prehistoric ages of humankind.
– จบยุคก่อนประวัติศาสตร์ของมนุษย์
– The Archeologist found weapons, tools, accessories and skeletons around the Korat Plateau (Korat, Udon Thani, Ubon Ratchathani, Nakorn Panom, Sakolnakorn, Khon kaen). So they assumed that E-san might be fertile area before.
นักโบราณคดีเจออาวุธ เครื่องมือ เครื่องประดับและโครงกระดูกรอบๆที่ราบสูงโคราช (โคราช อุดรธานี อุบลราชธานี นครพนม สกลนคร ขอนแก่น) ดังนั้นพวกเขาสันนิษฐานได้ว่าอีสานอาจจะเคยเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์มาก่อน
– Steve Young (American archeologist) found pottery at Baan Chieng, Udon Thani. The Baan Chieng pottery was handmade, painted in red and white with the spiral design. And it has become the one of the world heritage.
Steve Young เป็นนักโบราณคดีชาวอเมริกาเจอเครื่องปั้นดินเผาที่บ้านเชียงจังหวัดอุดรธานี เครื่องปั้นดินเผาจากบ้านเชียงเป็นงานที่ใช้มือทำ ตัวเครื่องปั้นดินเผาใช้สีแดงและขาว วาดขดเป็นวง และมันก็เป็นหนึ่งในมรดกโลก
คาบสมุทรอินโดจีน / สุพรรณภูมิ
1. เมืองแรกคือ Funan คนท้องถิ่นคือชาวเวียดนาม
Asoka, Indian Buddhist King, sent missionaries to Indo-Chinese peninsula in order to spread out Buddhism by encouraging local people got married with missionaries, Futhermore, they used the idea of Indianization.
Asoka กษัตริย์อินเดียผู้นับถือศาสนาพุทธ กษัตริย์ส่งผู้เผยแผ่ศาสนาไปที่อินโดจีน เพื่อที่จะไปเผยแผ่ ศาสนาพุทธ โดยสนับสนุนให้คนท้องถิ่นแต่งงานกับผู้เผยแผ่ศาสนา นอกจากนี้เขาใช้แนวคิดแบบอินเดีย
Indianization = turn people Buddhist, Rice cultivation, Drainage system.
แนวคิดแบบอินเดีย – เปลี่ยนคนให้หันมานับถือศาสนาพุทธ การเพาะปลูกข้าว ระบบระบายน้ำ
2. New comers = Mons and Khmers. They chased local people and then occupied the land. Mons and Khmers lived together. Although Mons loved peace, Khmers love fighting so Khmers established Khmer Empire in Indo-China
ผู้มาใหม่ – มอญและเขมร พวกเขาขับไล่คนท้องถิ่น และ ครอบครองพื้นที่ มอญกับเขมรอยู่ด้วยกัน ถึงแม้ว่ามอญจะชอบความสงบแต่เขมรชอบการสู้รบ เขมรจึงสร้างอาณาจักรเขมรในอินโดจีน
Mons: Dvaravadi Kingdom
Location: Nakorn Pathom (capital)
Buddha images were found in the south of Burma and the central of Thailand.
มอญ: อาณาจักรทวาราวดี
สถานที่ นครปฐม (เมืองหลวง) ราชบุรี สุพรรณบุรี
เจอพระพุทธรูป ที่ทางใต้ของพม่าและตอนกลางของประเทศไทย
Khmers: Angkor Kingdom
Location: Buriram, Nakorn Panom, Korat
Religion: Hinduism, Brahmanism, Buddhism
Temples in Khmers style were called Prasart, Praprang
เขมร อาณาจักรอังกอร์
สถานที่ บุรีรัมย์ นครพนม โคราช
ศาสนา ฮินดู พราหมณ์ พุทธ
วัดในแบบเขมรเรียกว่า ปราสาท พระปราง
3. Indian and local people established Srivijaya Kingdom. It was located on two pieces of land.
คนอินเดีย และคนท้องถิ่นก่อตั้งอาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งอยู่บนที่สองแห่ง
– On the mainland form Surajthani where Chaiya was the capital. There was gold mine so missionaries called it in Sanskrit, Suwannabhumi ( the land of gold)
ที่เมืองไชยาซึ่งเป็นเมืองหลวงของสุราษฏ์ธานี มีทองอยู่ ผู้เผยแผ่ศาสนาจึงเรียกที่แห่งนั้นว่า สุวรรณภูมิ
– On the Sumattra island in Indonesia where Palembang was the capital.
ที่เกาะสุมาตราในอินโดนีเซีย ซึ่งมี Palembang เป็นเมืองหลวง
Origins and Migrations of Thai People ต้นกำเนิดและการอพยพของคนไทย
1. Archeologist นักโบราณคดี
During the period of the new Stone Age, Dr. Sud Saengvichien found skeleton and appliances at Baan Kao so he believed that Thai has no migration.
ระหว่างยุคหินใหม่ Dr. Sud Saengvichien เจอโครงกระดูกและเครื่องมือช่างที่ Baan Kao ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าคนไทยไม่ได้อพยพ
2. นักประวัติศาสตร์
Prof. Paul Benedict ก็เชื่อว่าคนไทยไมได้อพยพแต่ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย เพราะคนไทยรับศษสนาพุทธมาจากอินเดีย
3. นักภาษาศาสตร์
คนไทยอาจจะมาจากอินโดจีนเพราะภาษา มี 4 ภาษาที่ใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Austro-Asiatic ใช้โดย ชาว กัมพูชา ชาวเวียดนาม ชาวมอญ
Tibeto-Burman ใช้โดย ชาวทิเบต ชาวมอญ
Malay ใช้โดย ชาวมาเลเซีย ชาวชวา ชาวมลายู
Tai/ Thai ใช้โดย ชาวไทย ชาวลาว ชาวเขา
4. นักประวัติศาสตร์
ศาสตราจารย์ 3 ท่านเชื่อว่า คนไทยมาจากเมืองจีน แต่ต่างสถานที่กัน
Prof. William Dodd กล่าวไว้ว่า คนไทยเคยอาศัยอยู่ที่ Altai Mountain และอพยพมาที่อินโดจีน แต่ว่าทฤษฏีนี้ผิด เพราะระยะทางไกลเกินไป
Prof. G.H. Luce กล่าวว่า คนไทยเคยอาศัยอยู่ใจกลางของเมืองจีน แต่พื้นที่แถวนั้นไม่เหมาะกับการเพาะปลูก ดังนั้นพวกเขาจึงอพยพเพื่อหาที่ที่ดีกว่า ทฤษฏีนี้ก็หาสาระไม่ได้
Prof. George Coedes กล่าวว่า คนไทยอาจจะอยู่ที่ Nanchao Kingdom (Sze-Chuan, Yunan) เพราะ วันเทศกาล เสื้อผ้า และวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับของไทย
Nanchao เป็นเมืองที่อยู่รอดจากเมืองจีน Sinuloเป็นเจ้าเมืองเมือง Nanchao Lord/ Chief / Chao เป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดซึ่งควบคุมทุกคนไว้ Nanchao เป็นเครือค่ายการเมือง (ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน) หลังจากผ่านมา 600 ปี Kublai Khan เป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่ของเมืองจีน ก็เข้ายึดNanchao บางกลุ่มก็หนีอพยพออกจากเมืองจีน ในขณะที่บางกลุ่มก็อยู่ต่อและแต่งงานกับคนจีน
Krom Phya Dumrong(The father of Thai history) กรมพระยาดำรง – บิดาของประวัติศาสตร์ไทย
– เป็นตัวแทนที่ถูกส่งไปที่ยูนนานในช่วงรัฐบาลของอดีตนายกจอมพล ป.พิบูลสงคราม (Former Prime minister Field Marshall Pibul) เขาเชื่อว่า
1. ไทยใหญ่ (The Great Thai) –อาศัยอยู่แถวแม่น้ำสาละวิน บางส่วนย้ายมาที่ Assum State คนกลุ่มนี้มีชื่อเรียกว่า Thai A-Hom
2. ไทยน้อย ( The little Thai) – มีสองกลุ่ม
1) กลุ่มแรกอยู่ชายฝั่งแม่น้ำแม่โขง พวกเราเชื่อว่าพวกเขาเป็นบรรพบุรุษของชาวลาวและคนอีสาน
2) กลุ่มที่สองอพยมมาทางใต้และอาศัยใกล้กับ Maenam Valley ในภาคกลางของประเทศไทย พวกเราเชื่อว่า พวกเขาเป็นบรรพบุรุษของพวกเรา
อาณาจักรสุโขทัย
มีหลายกลุ่มก่อนสุโขทัยได้กำเนิดขึ้น– เชียงแสน ล้านนา Bang Yang, Rod และพวกนี้เป็นเมืองขึ้นของสุโขทัย
ในปี 1238 ร่วงและเพื่อนของเขาชื่อว่า Pa Muang ช่วยกันตีและขับไล่เขมรออกไป และด้วยความช่วยเหลือของชาวไทย ร่วงหรือ พ่อขุนบางกลางท่าว (Khun Bang Klang Tao) ได้เป็นกษัตริย์ของสุโขทัย ท่านได้ก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัยใกล้กับแม่น้ำยม
ราชวงศ์พระร่วง
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
– เป็นผู้ค้นพบอาณาจักรสุโขทัยและเป็นกษัตริย์พระองค์แรกของราชวงศ์พระร่วง
– เปลี่ยนชื่อจากขุนบางกลางท่าวเป็นศรีอินทราทิตย์
– มีลูกชาย 3 คน กับนางเสือง องค์แรก เสียชีวิต องค์ทีสองชื่อ บานเมือง องค์ที่สาม ชื่อ (พ่อขุน)รามคำแหง
– ใช้การเมืองรูปแบบพ่อของแผ่นดิน
– ส่งลูกชายคนเล็ก (พ่อขุน)รามคำแหงไปออกศึกครั้งแรกกับเจ้าชายเมืองฉอด
– ระยะเวลาการครองราชและวันเสด็จสวรรคตไม่เป็นที่ปรากฏ พระโอรสองค์ที่สองเป็นผู้ครองบัลลังก์ต่อ
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
– เสด็จพ่อของพระองค์พระราชทานนามว่ารามคำแหงให้ หลังจากพระองค์ได้เข้าร่วมออกรบสู้กับเจ้าชายเมืองฉอด ในขณะนั้นพระองค์มีพระชนมายุเพียง 19 พรรษา
การเมือง
– พ่อของแผ่นดิน กษัตริย์คือพ่อปกครองลูก เป็นผู้นำที่มีเมตตา มีความเป็นธรรม กษัตริย์คือหัวหน้าหรือพ่อ อาณาจักรเปรียบเสมือนครอบครัว และประชาชนก็คือลูกๆ ดังนั้น ท่านจึงสร้างแท่นหินมนังคศิลา ประชาชนสามารถมาร้องทุกข์ได้ที่หน้าพระราชวังเพื่อขอความเป็นธรรม กษัตริย์เป็นผู้ตัดสินยกเว้นวัน Sabbath day.
– ชาวไทยมีรัฐบาลที่ตกทอดกันมา ประชาชนส่วนใหญ่ทำเกษตรกรรมในขณะที่คนอื่นทำการค้าขาย ไม่มีการเก็บภาษี ประชาชนจึงมีความสุขเพราะสามารถประกอบอาชีพอะไรก็ได้
– ระบบการปกครองกึ่งทหาร
สงบ: กษัตริย์ – หัวหน้า ประชาชน- ประกอบอาชีพของตน
สงคราม: กษัตริย์ -ผู้นำกองทัพ ประชาชน – ทหาร
ศาสนา
– ตอนแรกชาวไทยนับถือผีสางเทวดา พระองค์ไม่ชอบแบบนั้นจึงได้ส่งพระไปที่ซีลอน (ชื่อเดิมของศรีลังกา) เพื่อไปศึกษาเกี่ยวกับศาสนาพุทธแบบเถรวาด พระเหล่านั้นก็กลับมาเผยแผ่ศาสนาให้ชาวไทย จากนั้นมาศาสนาพุทธจึงกลายเป็นศาสนาประจำชาติ
– มีศาสนาพทุธสองสาย
*Mahayana/ Acariyavada – ใช้ที่เอเชียตอนเหนือ เช่นจีน เกาหลี ญี่ปุ่น และเวียดนาม
* Hinayana/ Theravada – ใช้ที่เอเชียตอนใต้ เช่น ลังกา พม่า ลาว กัมพูชา และไทย
– เริ่มมีการทอดกฐิน
การค้าขาย
– พ่อขุนรามได้ทำการทูตกับเมืองจีนโดยส่งตัวแทนและของขวัญ พระจักรพรรดิของเมืองจีนส่งเครื่องกระเบื้องมาให้ เครื่องกระเบื้องมีสีฟ้าและขาวซึ่งถูกทำขึ้นมาอย่างสวยงาม จึงทำให้คนไทยเริ่มทำเครื่องกระเบื้องเองและเรียกมันว่า สังขโลก จากนั้นก็ส่งออกไปที่อินเดีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย
ผลสำเร็จ
– ในปี 1283 พ่อขุนรามได้ประดิษฐ์อักษรไทยโดยใช้ตัวเขียนของมอญและเขมรเป็นหลัก เรียกว่า ลายสือไทย
– ในปี 1292 มีการจารึกหินเป็นภาษาพื้นเมืองของสุโขทัย ทั้งสระและพยัญชนะอยู่ในบรรทัดเดียวกัน มันเป็นผลงานด้านงานเขียนชิ้นเอกของไทย
– ช่วงเวลานั้น พ่อขุนรามขยายอาณาจักรโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะพิชิต มีเมืองขึ้นมากมายจึงได้รับของบรรณาการมากเป็นเหตุให้สุโขทัยมีความเจริญ เป็นช่วงเวลาของความสามัคคีและความซื่อสัตย์
– หลังจากการเสด็จสวรรคตของพ่อขุนรามในปี 1300 สุโขทัยก็เริ่มล่มสลาย
พระยาเลอไท
– พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ไม่ค่อยมีความแข็งแกร่งจึงทำให้เมืองขึ้นเริ่มแข็งข้อและเป็นอิสรภาพอีกครั้ง
– หลังจากพระองค์เสด็จสวรรคตได้เกิดการแย่งชิงบัลลังก์ โดย พระยางั่วนำถมซึ่งเป็นผู้ปกครองกำแพงเพชร กับ Prince Lithai: Maha Uparat (Deputy King)
พระยาลิไท หรือ พระมหาธรรมราชาที่ 1
– เป็นกษัตริย์องค์แรกที่บวชเป็นพระ พระองค์เป็นนักปราชญ์และทรงสนับสุนศาสนาพุทธแบบลังกา พระองค์จึงได้ชื่อว่า ธรรมราชา
– พระองค์แบ่งพระออกเป็นสองกลุ่ม
Gamavasi/ City monks-ศึกษาบาลีและหลักศาสนา อาศัยอยู่ในเมืองและเริ่มโรงเรียนสอนศาสนาพุทธ
Arunyavasi/Forest monks – อาศัยอยู่ในป่า ทำสมาธิและพยายามปลดปล่อยจากความเจ็บปวดและการเกิดใหม่
– พระองค์ทรงบวชเป็นเวลา 4 เดือน ตั้งแต่นั้นมาก็มีธรรมเนียมที่ผู้ชายอายุ 21 ต้องได้รับการบวชเป็นพระ
– พระองค์เขียนหนังสือเกี่ยวกับวิชาว่าด้วยจักรวาลของศาสนาพุทธ (Buddhist Cosmology)หรือโลก 3 แห่ง (สวรรค์ โลกมนุษย์ และนรก) เราเรียกว่า Tribhumikatha หรือ ไตรภูมิพระร่วง เป็นหนังสือเก่าแก่ที่สุดเล่มที่สองของไทย
– ในช่วงเวลานั้นมีการสร้างพระพุทธชินราช
– ในปี 1350 เป็นปีล่มสลายของสุโขทัย
อาณาจักรอยุธยา
ที่เมืองอู่ทองมีการระบาดของโรคอหิวาตกโรคและแม่น้ำก็แห้ง มีคนตายเยอะ พระยาอู่ทอง(Prince U-Tong) จึงย้ายเมืองหลวงมาที่อยุธยาซึ่งเป็นที่ที่แม่น้ำสามสายมาบรรจบกัน มีแม่น้ำป่าสัก แม่น้ำลพบุรีและแม่น้ำเจ้าพระยา อยุธยาเป็นเมืองที่ตะวันออกและตะวันตกมาเจอกันเพราะอยุธยาเป็นจุดศูนย์กลางของการค้าขายและวัฒนธรรม พระยาอู่ทองขึ้นครองราชเป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรอยุธยา
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ( กษัตริย์อู่ทอง)
– อำนาจจากสวรรค์เบื้องบนเป็นแนวคิดของพราหมณ์ พระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกและพระเจ้าก็มาเกิดเป็นกษัตริย์ ดังนั้นกษัตริย์อู่ทองจึงเรียกพระองค์เองว่า รามาธิบดี ซึ่งหมายถึงเจ้าแห่งชีวิต
– อยุธยาแตกต่างจากสุโขทัยตรงที่ว่ากษัตริย์เป็น Devaraja
• คำพูดของกษัตริย์เป็นเหมือนคำสั่งของพระเจ้า
• ที่ดินหรือแม้แต่ชีวิตคนเป็นของกษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว
• เราต้องใช้คำราชาศัพท์ในการพูดคุยกับกษัตริย์
• ไม่สามารถเข้าถึงกษัตริย์ได้ (inaccessible person)
รัฐบาล / คณะผู้บริหาร
– กษัตริย์แห่งเมืองอู่ทองสร้างจตุสดม
1. กรมเมือง ( Ministry of Local Government)
* ดูแลทุกอย่างเกี่ยวกับเมืองหลวง
2. กรมวัง (Ministry of Royal Household)
* ดูแลทุกอย่างเกี่ยวกับในวังหลวง
3. กรมคลัง ( Ministry of Finance)
* ดูแลเกี่ยวกับการเงิน ภาษี การส่งออก นำเข้า
Ministry of Foreign Affairs
* สื่อสารกับต่างประเทศ ค้าขาย ทูต
4. กรมนา (Ministry of Agriculture Affairs)
* ช่วยเหลือและสนับสนุนชาวนา ให้คำแนะนำและเก็บข้าวจากทั้งประเทศแล้วนำไปขาย
การเปลี่ยนแปลงทางสังคม
– มีการใช้ภาษาที่ต่างกันสำหรับชนชั้นที่ต่างกัน
กษัตริย์ – ราชาศัพท์ (Royal/ Court language)
พระ – ราชาศัพท์สำหรับพระ (Religious language)
ข้าราชการ(Bureaucrats) – ภาษาสุภาพ
คนทั่วไป (Commoners) – ภาษาสามัญ
ทาส – ภาษาข้างถนน (Street language )
– ศักดินา/ ผู้ครอบครองที่ดิน เป็นนโยบายการพัฒนาที่ดิน ช่วงเวลานั้นมีแต่ผู้สูงศักดิ์เท่านั้นที่ได้รับที่ดินเป็นรางวัลสำหรับการทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง กษัตริย์จึงให้ที่ดิน แต่ว่าการให้ก็ไม่ได้มีเกณฑ์ตัดสินว่าใครจะได้เยอะน้อยยังไง เพราะกษัตริย์เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะให้เท่าไหร่ และที่ดินก็ไม่ได้เป็นมรดกตกทอด
สมเด็จพระบรมราชาที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) King Bormmaraja I (King Pa Ngua)
– สมเด็จพระบรมราชาที่ 1 เป็นญาติกับสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 แต่ว่าพระองค์อยู่ในราชวงศ์สุพรรณภูมิ
– พระองค์ทรงมีความสามารถ พระองค์ทำตามนโยบายของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 เกี่ยวกับการขยายอาณาจักร
– ในปี 1372 พระองค์ได้เข้ายึดอาณาจักรสุโขทัย
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ King Boromtriloknat (King Trilok)
– พระองค์ไม่โปรดจตุสดมเพรามีคนเยอะเกินไป พระองค์จึงเพิ่มขึ้นมาอีกสองตำแหน่ง
1. สมุหกลาโหม (Commander in Chief)
* ดูแลการทหารและอาณาจักรทางตอนเหนือ
2. สมุหนายก (Prime Minister)
* ทำงานร่วมกับจตุสดมในการดูแลเกี่ยวกับประชากรและทางตอนใต้ของอาณาจักร
– กฏมณเฑียรบาลถูกสร้างขึ้นมาเหมือนเป็นกฏของพระราชวัง ซึ่งทำให้เป็นระบบธรรมเนียม พิธีการ กฏเกี่ยวกับกษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์
– ศักดินา/ ผู้ครอบครองที่ดิน เริ่มชัดเจนมากขึ้นและเริ่มเป็นอำนาจทางที่ดิน การแบ่งแยกที่ดินไม่เท่ากันเป็นเพราะชนชั้นทางสังคม ประชาชนสามารถทำอะไรบนที่ดินของตัวเองก็ได้ แต่ว่าก็ยังไม่ได้เป็นมรดกตกทอดและไม่สามารถหาค่าได้
– ระบบไพร่ เป็นการลงทะเบียนกำลังคนและการบริการ เราสามารถวัดอำนาจของผู้มีชาติตระกูลจากจำนวนไพร่ ไพร่ทำงานโดยไม่มีเงินเดือนโดยได้รับการคุ้มครองเป็นสิ่งตอบแทน
1. Phrai Som: ผู้รับใช้ที่อยู่ในระหว่างภาคทัณฑ์
2. Phrai Luang: ผู้รับใช้อย่างถาวร – คนของกษัตริย์
ตำแหน่งของความเป็นผู้ดี
1. พระยา
2. พระ
3. หลวง
4. ขุน
5. หมื่น
6. Phun
7. ทนาย
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
– ชาวโปรตุเกตเป็นชาวยุโรปประเทศแรกที่มาที่อยุธยาด้วยวัตถุประสงค์สามอย่าง
1. มาซื้อของหายากและมีค่าเช่น สมุนไพร ผ้าไหม งาช้าง เครื่องเทศ
2. มาหาที่อยู่ใหม่และหาอาณานิคม
3. มาเผยแผ่ศาสนาคริส
– ทหารได้นำเข้าปืนขนาดเล็กและปืนใหญ่จากโปรตุเกต โปรตุเกตช่วยไทยเกี่ยวกับการฝึกทหาร
ท้าวศรีสุดาจันทร์
– นางสนมคนโปรดของสมเด็จพระไชยราชาธิราช(King Jairaja)
– เกิดในราชวงศ์อู่ทอง
– พยายามฟื้นฟูราชวงศ์อู่ทองให้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง
– วางยาพิษกษัตริย์และแต่งงานใหม่กับชู้ (ขุนวรวงศาธิราช)
– แต่ครองราชได้เพียง 45 วันก็ถูกขุนพิเรนทรเทพฆ่าตาย
– ขุนพิเรนทรทพยกตำแหน่งคืนให้พระเฑียรราชา (ตอนหลังได้เป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ) น้องของสมเด็จพระไชยราชาธิราช
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (The Lord of the White Elephant)
– มีลุก 4 คนกับสมเด็จพระศรีสุริโยไทคือ พระราเมศวร พระมหินทร์ พระวิสุทธิกษัตรีย์ พระเทพกษัตรีย์
– ยกเมืองพิษณุโลกและยกพระวิสุทธิกษัตรีย์ให้แก่ขุนพิเรน(ตอนหลังเป็นสมเด็จพระมหาธรรมราชา)
– ปี 1549 พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ของพม่าตีประเทศไทย สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ สมเด็จพระศรีสุริโยไทและลูกชายร่วมออกรบ
– พระสุริโยไทแต่งตัวเป็นผู้ชายและออกรบ ตอนที่กษัตริย์ถูกศัตรูไล่ล่า พระสุริโยไทยอมตายแทนสามี สมเด็จพระมหาจักรพรรดิสร้างอนุสาวรีย์ ให้พระสุริโยไท เพราะความกล้าหาญ ความรัก การอุทิศตัวและความซื่อสัตย์ พระสุริโยไทจึงถูกขนานนามว่า เป็นวีรสตรีคนแรกของไทย
– พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ถอนกองทัพหลังจากรู้ว่ามีผู้หญิงออกรบ และพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ก็เสด็จสวรรคตในปี 1550 เพราะมีความผิดปกติทางจิต
– พระเจ้าบุเรงนอง (Bayin Naung) หรือผู้ชนะสิบทิศ – ขึ้นครองราชหลังจากพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้เสด็จสวรรคต พระเจ้าบุเรงนองจับพระราเมศวร พระยาจักรี พระสุนทรสงครามเป็นตัวประกัน เพราะว่าพระเจ้าบุเรงนองยังอยากให้อยุธยาเป็นอาณานิคมก็เลยขอช้างเผือก 2 ตัวจากสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ แต่ว่าช้างเผือกเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจของกษัตริย์ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิเลยไม่ยกให้ บุเรงนองเลยทำสงครามกับไทย เรียกว่า สงครามช้างเผือก (War of White Elephants)
– พระมหาจักรพรรดิกลัวจะแพ้สงครามเลยตกลงกับบุเรงนองว่าจะให้ช้างเผือก 4 เชือก
– พระมหาจักรพรรดิผูกมิตรกับหลวงพระบางด้วยการส่งพระเทพกษัตรีย์ให้ไปแต่งงานกับกษัตริย์ของหลวงพระบาง
– สมเด็ญพระมหาธรรมราชาจากพิษณุโลกเป็นสายสืบให้กับพม่า พระมหาธรรมราชาบอกบุเรงนองเกี่ยวกับการแต่งงาน บุเรงนองเลยส่งทหารมาจับพระเทพกษัตรีย์และทำให้พระเทพกษัตรีย์ตกเป็นสนม
สมเด็จพระมหินทราธิราช
– บุเรงนองและสมเด็จพระมหาธรรมราชา(พิษณุโลก)วางแผนจะตีอยุธยา
– บุเรงนองส่งพระยาจักรี(หนึ่งในตัวประกัน)กลับไปที่อยุธยา พระยาจักรีโกหกพระมหินทร์ว่าหนีออกมาจากพม่าได้ พระมหินทร์ให้พระยาจักรีอยู่ในตำแหน่งป้องกันเมืองหลวง พม่าตีอยุธยาได้อย่างเต็มกำลัง
– พระมหินทร์เป็นมาเลเรียตายในสงคราม
– วันที่ 30 สิงหาคม 1569 อยุธยาล่มสลายครั้งแรก
– เหตุผลของการล่มสลายของอยุธยา
• การหักหลังของพระยาจักรี
• ความเห็นแก่ตัวของสมเด็จพระมหาธรรมราชา
• การไร้ความสามารถของพระมหินทร์
ราชวงศ์มหาธรรมราชา
สมเด็จพระมหาธรรมราชา
– บุเรงนองแต่งให้เป็นกษัตริย์ของอยุธยา
– มีลูก 3 คนกับพระวิสุทธิกษัตรีย์คือ สุวรรณเทวี พระนเรศวร พระเอกาทศรถ
– บุเรงนองขอพระนเรศวรไปเป็นตัวประกันเพื่อที่จะมั่นใจได้ว่าพระมหาธรรมราชาจะไม่หักหลัง
– พระมหาธรรมราชาส่งสุวรรณเทวีไปเป็นเจ้าสาวของบุเรงนอง อาจจะเพื่อแลกกับพระนเรศวร
– บุเรงนองล้างสมองพระนเรศวรมา 15 ปีแต่ว่าไม่สำเร็จ พระนเรศวรกลับมาที่อยุธยาด้วยความตั้งใจที่ดี
– ปี 1581 พระเจ้าบุเรงนองก็เสด็จสวรรคต โดยมีนันทบุเรงครองราชต่อ
– พระมหาธรรมราชาให้พระนเรศวรคุมกองทัพ พระนเรศวรได้แสดงให้เห็นว่าพระองค์พร้อมกับการรบ
– 3 พฤษภาคม 1584 ประกาศอิสรภาพที่Klang City
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช(องค์ดำ) King Naresuan The Great(Black Prince)
– ตอนที่พระนเรศวรกลับมาที่อยุธยา ประชาชนไม่เชื่อถือพระองค์ ประชาชนเกรงว่าพระองค์อาจจะเป็นไส้ศึกของพม่า
– พระองค์เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ พระองค์ไม่เคยแพ้ศึกใดๆกับพม่าเลย
– ให้พระเอกาทศรถเป็นอุปราช
– 25 มกราคม 1593 กองทัพพม่าแพ้กองทัพไทยที่สามเหลี่ยมทองคำ มีการทำยุทธหัตถีกันบนหลังช้าง ลูกของนันทบุเรงชื่อว่ามังกะยอชวาสิ้นพระชนม์ พระนเรศวรสร้างดอนเจดีย์ไว้ที่หนองสาหร่ายจังหวัดสุพรรณบุรีซึ่งเป็นที่ที่พระองค์ได้รับชัยชนะ
– พระองค์รับศาสนาคริสเข้ามา มีคนนับถือศาสนาคริสและผู้เผยแผ่ศาสนาได้รับอนุญาตให้อยู่ที่อยุธยา
– พระองค์ได้ตำแหน่งมหาราชด้วยเหตุผลสองประการคือ
1. พระองค์กอบกู้เอกราชให้ไทย
2. พระองค์กอบกู้ชื่อเสียงของอาณาจักรว่าไม่มีศัตรูคนไหนได้เห็นกำแพงของอยุธยา
– พระนเรศวรเสด็จสวรรคตวันที่ 16 พฤษภาคม 1605 เพราเป็นโรคฝีฝักบัว พระองค์ไม่มีทายาท พระเอกาทศรถขึ้นครองราชต่อ
พระเอกาทศรถ (องค์ขาว)
– ชาวดัตช์ เป็นประเทศที่สองในยุโรปที่มาที่อยุธยา มาเพื่อเป็นตัวแทน V.O.C. (Verenigde Oost-Indische Compagnie) หรือ the United East India Company ที่อยุธยา
– ดัตช์มีกองบัญชาการที่เมืองปัตตาเวีย (กรุงจาร์กาตาในปัจจุบัน)ในชวาแต่พวกเขาอยากขยายตลาดเลยมาที่อยุธยา
– สังคมชาวดัตช์เรียกว่า New Amsterdam ที่พระปะแดง
– ทูตคนแรกไปที่กรุงเฮกประเทศฮอลแลนด์ในปี 1604
สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม
– พระองค์เคยบวชเป็นพระ พระองค์เป็นนักปราชญ์และมีความสนพระทัยในศาสนาพุทธ
– อังกฤษ(British) เป็นประเทศที่สามในยุโรปที่มาที่ไทย พวกเขามาเพื่อเป็นตัวแทนของ English East India Company บริษัทนี้ไม่ได้กำไรเพราะมีคนงานที่ไม่ดีและการแข็งขันกับชาวดัตช์
– นายบุญผู้เป็นนักล่าเจอฝ่าเท้าของพระพุทธเจ้า(footprint of Lord Buddha)ที่สระบุรี สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมจึงมีคำสั่งให้สร้างมณดป
– มหาชาติได้รับการแปลจากภาษาบาลีมาเป็นภาษาไทย
– Shogun Tokugawa ให้ทหาร 500 นายมาทำงานในไทย หนึ่งในนั้นคือ Yamada Nagamasa ซึ่งทำงานเป็นผู้รักษาความปลอดภัยในวังได้รับตำแหน่งเป็นออกญาเสนาภิมุข
Royal Monopoly
– แผนกคลังสินค้า ตั้งราคา พ่อค้าคนกลาง เก็บภาษี
วัตถุประสงค์ 1. เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่มีน้อย เช่นงาช้าง ไม้จันทน์ แร่ หนังสัตว์
2. เพื่อควบคุมการค้าและการเก็บภาษี
ข้อบังคับ 1. ทรัพยากรธรรมชาติที่เหลือน้อยไม่สามารถซื้อขายกันได้โดยตรง
2. ต้องได้รับอนุญาตถึงจะส่งออกข้าวสารได้
3. สินค้าชนิดอื่นสามารถซื้อขายได้อย่างเสรี
ข้อสรุป โปรตุเกตและดัตช์ขาดทุน
อังกฤษล้มละลายและกลับอินเดียไป
ราชวงศ์ปราสาททอง
พระนารายณ์มหาราช King Narai The Great
– พระองค์ได้เป็นมหาราชเพราะนโยบายต่างประเทศ( Foreign Policy)และพระองค์เป็นกษัตริย์ที่ซื่อสัตย์ซึ่งนับถือศาสนาพุทธ (Faithful Buddhist King)
– Thai Renaissance – การเกิดใหม่ของศิลปะ วรรณคดีและดนตรี
– ไม่มีการระวัง (Lack of awareness) – ไม่มีการเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม
– ชาวดัตช์ขวางกั้นแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อขอสิทธิพิเศษลและพวกเขาก็ได้รับอนุญาต
– Constantine Phaulkon เป็นชาวกรีกแต่สามารถพูดไทยได้ เขาทำงานเป็นล่ามในพระคลังและได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าพระยาวิชาเยนทร์
ฝรั่งเศส
– พระองค์ทำสัญญากับฝรั่งเศสเพราะพระองค์ต้องการลบล้างผลกระทบจากดัตช์ในอยุธยา
– Father Thomas Valguarnera (French Roman Catholic)และผู้เผยแผ่ศาสนาคนอื่นชาวฝรั่งเศสมาที่อยุธยาเพื่อเผยแผ่แคทอลิคและแนวคิดของโรมัน
– ฝรั่งเศสมีชื่อเสียงด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม Father Thomas สร้างป้อมปราการมากมายเพื่อทำให้พระนารายณ์พอใจ (forts = ป้อมปราการ)
– ช่วยออกแบบพระราชวังที่ลพบุรี ในขณะนั้นอยุธยาเริ่มแออัด แต่ว่าแผนการนี้ก็ไม่เป็นผลสำเร็จเพราะพระนารายณ์มหาราชเสด็จสวรรคตก่อน
– พระนาราณ์มหาราชให้ที่ดินแก่ชาวฝรั่งเศสเพื่อนำไปสร้างโบสถ์และโรงเรียนสอนศาสนาคริส
– ชาวฝรั่งเศสให้การรักษาโรคฟรีในวันหยุดเพื่อที่โน้มน้าวให้คนไทยหันไปนับถือศาสนาคริส
– พระนารายณ์ส่งทูตไปฝรั่งเศส 3 ครั้งในช่วงของ King Kouis XIV
1. ครั้งแรก – เรือล่ม
2. ครั้งที่สอง – นักเรียนชาวไทยกลุ่มแรกเดินทางไปถึงฝรั่งเศส
3. ครั้งที่สาม- Kosa Pan (Pra Wisutsunthorn)ไปฝรั่งเศส
– Chavalier De Chamont เป็นทูตฝรั่งเศสคนแรกในประเทศไทย
ช่วงเวลากวีนิพนธ์
– ราชสำนักเป็นจุดศูนย์กลางของผู้ประพันธ์ ในช่วงนั้นเจ้าฟ้ากุ้ง พระมหาราชครู ศรีปราชญา พระโหราธิบดี เป็นนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียง
– พระโหราธิบดีเป็นผู้เขียนจินดามณีซึ่งเป็นหนังสือเก่าแก่ที่สุดของไทย
ราชวงศ์บ้านพลูหลวง
สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 (พระเจ้าเสือ)
– พระองค์หมกมุ่นเรื่องการชกต่อย การล่า ตกปลาและที่เกี่ยวกับทางโลก
– มีครั้งหนึ่งพระองค์นั่งเรือไปแถวคลองมหาชัย นรสิงห์เป็นนายคัดท้ายเรือ นรสิงห์ไม่ได้ระวังเรือจึงไปชนกับริมฝั่งทำให้หัวเรือหัก ตามกฏพระราชวังนรสิงห์ต้องถูกประหารชีวิต พระเจ้าเสือให้อภัยแต่นรสิงห์ยืนยันที่จะรับโทษ เพราะกฏก็ควรกฏ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
– ในขณะนั้นมีแต่ความสงบ
– เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์หรือเจ้าฟ้ากุ้ง(ลูกชายคนโต)เป็นนักประพันธ์ที่มีความสามารถ หนึ่งในกลอนที่มีชื่อเสียงที่เจ้าฟ้ากุ้งเป็นผู้แต่งคือ กาพย์เห่เรือ
– เจ้าฟ้ากุ้งสิ้นพระชนม์เพราะโดนเฆี่ยนเพราะไปเป็นชู้กับเจ้าจอมของพ่อ
– ลูกชายอีกสองคนของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศคือ สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์และ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเลือกสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรให้ขึ้นครองราชเป็นคนต่อไป หลังจากเลือกเสร็จก็ไปบวช
สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร
– ขึ้นครองราชไม่นาน เพราะพระองค์ทรงทราบว่าสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์อยากครองราช พระองค์จึงยกบัลลังก์ให้น้อง จากนั้นพระองค์ก็ไปบวช
สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์
– อ่อนแอและชอบให้มีผู้หญิงอยู่เป็นเพื่อน
– พระองค์เรียกพระองค์เองว่า บรมราชาธิราช แต่คนไทยเรียกพระองค์ว่าสมเด็จพระที่นั่งสุริยาบรินทร หรือ ขุนหลวงขี้เรื้อน(leprous King)
– พระเจ้าอลองพญาของพม่าเป็นนักรบที่กล้าหาญ พระเจ้าอลองพญารวบรวมชาวพม่าตีเหนือและใต้และเริ่มรุกรานอยุธยา
– สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ได้ทรงขอให้พระเจ้าอุทุมพรลาผนวช ออกมาช่วยบัญชาการรบ
– พระเจ้าอลองพญาสิ้นพระชนม์ระหว่างสงครามเพราะมีการระเบิดของปืนใหญ่ทำให้อยุธยาชนะ
– สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์สั่งให้พระเจ้าเอกทัศน์กลับไปบวชต่อ เพราะกลัวจะมาแย่งอำนาจ
– พระเจ้ามังระตีอยุธยาอีกครั้งและได้รับชัยชนะ
– วันที่ 7 เมษายน 1767 อยุธยาล่มสลายเป็นครั้งที่สอง – แย่กว่าครั้งแรก
– พม่าทำลายทุกอย่าง วัง วัด บ้าน วรรณคดี และรวมทั้งเลือดเนื้อของคนไทย
– เหตุผลที่ทำให้อยุธยาล่มสลายเป็นครั้งที่สอง
1. กษัตริย์ไม่มีความบากบั่นอุตสาหะและความสามารถในการปกครอง
2. ขาดความระมัดระวัง – ไม่มีความพร้อมด้านการฝึกสงคราม
3. การขาดความสามัคคีของพระบรมวงศานุวงศ์
ธนบุรี
พระยาตากสินหนีออกจากอยุธยาก่อนการล่มสลาย พระยาตากสินไปจันทบุรีเพื่อสร้างกองทัพ 7 เดือนหลังจากนั้น พระองค์กลับมาเพื่อประกาศอิสรภาพและพระองค์ก็ประสบความสำเร็จ จากนั้นพระองค์ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ธนบุรี เพราะว่า
1. อยุธยาถูกทำลายจนเละ
2. พม่ารู้ทุกเส้นทางของอยุธยาทำให้ยากต่อการคุ้มกัน
3. มีทหารไม่พอที่จะปกป้องเมือง
4. คนไทยต้องการความมั่นใจ พวกเขาอยากหลีกเลี่ยงภาพเก่าๆของสงคราม
ดังนั้นพระองค์จึงสร้างเมืองหลวงขึ้นมาใหม่อยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และตั้งชื่อว่า ธนบุรี
พระเจ้าตากสินมหาราช King Taksin (Taksin The Great)
– พระองค์ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ ครึ่งไทยครึ่งจีน คนบางกลุ่มเลยไม่นับถือ
– ศัตรูของพระเจ้าตากสิน
1. ภายใน – คนไทยที่ไม่นับถือพระองค์
2. ภายนอก – พม่า
– พระองค์ผูกมิตรกับเมืองจีนเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับพระองค์เอง มีการเข้ามาของคนจีนอย่างมากมาย คนจีนถูกจ้างให้เป็นคนงาน
– ไม่มีชาวยุโรป เพราะมี industrial revolution ในยุโรป
– ไม่มีการพัฒนาของสังคม – ทุกอย่างเหมือนกับที่อยุธยา
– มีผู้ช่วยที่ดีอยู่ 2 คน 1. ทองด้วง (เจ้าพะยาจักรี)
2. บุญมา (เจ้าพระยาสุรสีห์)
– พวกเขาชนะการรบกับพวกลาว เจ้าพระยาจักรีนำพระแก้วมรกตกลับมา เจ้าพระยาจักรีจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
– พระยามังระส่งอาแซหวุนกี้เพื่อมาทำสงครามกับอยุธยาอีกครั้ง พระเจ้าตากสินส่งเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกไปจัดการสงคราม
– ไทยเราโชคดีที่พระยามังระสิ้นพระชนม์ก่อนดังนั้นอาแซหวุนกี้เลยต้องถอยทัพ
– ปี 1782 พระเจ้าตากสินเริ่มเสียสติ พระองค์คิดว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิด อาจจะเกิดจากสงครามและงานที่หนักเกินไป
– ผู้นำนายทหารและเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ตัดสินใจที่จะทำให้พระเจ้าตากสินจากโลกนี้ไปอย่างสงบ
– จบช่วงเวลาของธนบุรีด้วยการมีกษัตริย์เพียงองค์เดียว
Rattanakosin รัตนโกสินทร์
Somdej Chao Phya Maha Krasatsuek moved the capital again from Thon buri to Bangkok
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกย้ายเมืองหลวงอีกครั้ง จากธนบรีไปที่กรุงเทพ
Chakri dynasty ราชวงศ์จักรี
King Ramathibodi I (Pra Buddha Yodfa Chulalok)
รัชกาลที่ 1
– First king of Chakri dynasty
กษัตริย์องค์แรกแห่งราชวงศ์จักรี
– There was a new Chinese community at Sampeng.
มีสังคมคนที่จีนที่สำเพ็ง
King Rama II = greatest artist and poet king.
รัชกาลที่ 2 ทรงปรีชาสามารถด้านกวี
King Rama III = businessman or Chao sua. Siam and china traded on large scale.
รัชกาลที่ 3 มีความสามารถด้านการค้าขาย เมืองไทยและเมืองจีนทำการค้ากัน
King Rama IV (King Mongkut) รัชกาลที่ 4
– 1st Asian King who could speak, write, read English
กษัตริย์ของเอเชียคนแรกที่ใช้ภาษาไทยได้
– 1st road = Chareon Krung Road
มีถนนสายแรกที่เรียกว่าเจริญกรุง
– The Father of Thai Science
พ่อของวิทยาศาสตร์ของไทย
King Rama V (King Chulalonkorn) รัชกาลที่ 5
– Visit Europe twice เสด็จเยือนยุโรปสองครั้ง
– Suan Kularb Villa = first private school for boy
โรงเรียนสวนกุหลาบเป็นโรงเรียนชายล้วนเอกชนแห่งแรก
หมายเหตุข้อมูลอาจจะไม่ครบลองหาอ่านเพิ่มเติมละกัน
Final Thai Civil
Thai Society and Culture
Culture วัฒนธรรม – the way of life that has been created by human
วิถีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยมนุษย์
Culture includes appropriate idea, value and customs.
วัฒนธรรมรวมไปถึงความคิดที่เหมาะสม ค่านิยม ประเพณี
Culture are mostly learned and transmitted through human interaction.
โดยส่วนใหญ่วัฒนธรรมได้รับการถ่ายทอดผ่านการติดต่อสื่อสารของมนุษย์
Culture can be divided into 2 groups: วัฒนธรรมแบ่งได้เป็นสองกลุ่ม
- Material/ concrete culture(object, instrument) วัฒนธรรมด้านวัตถุ
- Non material/ abstract culture (idea, concept, belief) วัฒนธรรมด้านความเชื่อ
The development of Thai culture การเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมไทย
Thai culture is mainly influenced by:
วัฒนธรรมไทยได้รับอิทธิพลจาก
- Indian ชาวอินเดีย (มีผลทางอ้อม)
- Mon and Khmer มอญ กับ เขมร
à There are some changes in the administrative system, language, art, and law.
มีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการปกครอง ภาษา ศิลปะ กฎหมาย
- Chinese ชาวจีน
- Westerner ตะวันตกà Portuguese โปรตุเกส
There are two kinds of Thai culture
- King’s culture or classical/Court/ Royal Culture วัฒนธรรมของกษัตริย์
- belongs to Kings & the royal family
สำหรัษกษัตริย์และราชวงศ์
- formals, complex, and expensiveà made by Chang
เป็นทางการ ซับซ้อน แพง
Chang ช่างà Painters จิตรกร, sculptors ช่างปั้น, architects สถาปนิก, musician นักดนตรี, dancers นางรำ, and skilled craftsmen ช่างฝีมือ
Example of classical culture: Khon =mask dance (Ramayana), royal Barges, temple murals, royal plowing ceremony, Lakorn nai= palace drama , Nang Yai.=Shadow play
ตัวอย่างของวัฒนธรรมคลาสสิก: โขน (รามเกียรติ์) เรือพระที่นั่ง วาดผนังวัด พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ละครใน หนังใหญ่
- Popular culture วัฒนธรรมชาวบ้าน
- belongs to ordinary people
สำหรับสามัญชน
- village- centered = found easily in countryside
หาได้ง่ายตามชนบท
- serves the basic needs: reflect the way of living
ตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐาน
- informal, simple, and inexpensive
ไม่เป็นทางการ เรียบง่าย และไม่แพง
Example of popular culture: ตัวอย่างของวัฒนธรรมชาวบ้าน
-Song-kran สงกรานต์
-Loy Krathong ลอยกระทง
– Rocket Festival ประเพณีบุญบั้งไฟ
– Phi-Ta-Khon ผีตาโขน
-La-Khon Nok ละครนอก
à Performed for common audience
แสดงให้สามัญชนดู
à Plot taken mostly from folk- tales
เนื้อเรื่องเอามาจากเรื่องที่เล่าต่อกันมา
à Originally performed by men
เริ่มแรกแสดงโดยผู้ชาย
à Women were included later
ตอนหลังผู้หญิงถึงเข้าร่วมได้
Thai Arts
Traditional Thai Art: truly oriental
ศิลปะของไทยแบบดั้งเดิม ค่อนข้างที่จะเป็นแบบเอเชีย
- strong Indian inspirations: themes, style, techniques
ได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย
- unique
มีความเป็นเอกลักษณ์
- doesn’t care about beauty
ไม่ได้เอาเรื่องความสวยงามมาตัดสิน
- kept just to be worship: place of shelf
ไว้บูชา
Main characteristic of Traditional Thai Art ลักษณะของศิลปะของไทยแบบดั้งเดิม
- unrealistic but non- abstract
ดูไม่เหมือนของจริงแต่ก็ไม่เหมือนศิลปะแบบนามธรรม
- based upon the Buddhist philosophy à life is Maya (illusion)
ใช้หลักปรัชญาของศาสนาพุทธ àชีวิตเป็นภาพลวงตา
- work right at the scene not in the studio ex. temple wall
ทำงาน ณ สถานที่จริง
The 4S’s of Thai Art ศิลปะของไทยมี 4องค์ประกอบ
- Simplicity ความเรียบง่าย
- Art is simple: easy to make and understand
ศิลปะเป็นสิ่งที่ทำง่ายและง่ายต่อการเข้าใจ
- Spirituality จิตวิญญาณ
- Religious art: made to be worshiped
ศิลปะด้านศาสนาสร้างขึ้นมาเพื่อการเคารพบูชา
- Sincerity ความแท้จริง
– Artists are anonymous ไม่ได้มีการลงชื่อของจิตรกรไว้
– Dates are unknown วันที่ไม่ปรากฎ
– Works are dedicated to religion งานที่ทำอุทิศเพื่อศาสนา
– Artists don’t expect to be rich or famous จิตรกรไม่ได้อยากรวยหรือมีชื่อเสียง
- Symbolism การใช้สัญลักษณ์
- hidden religious meaning
สัญลักษณ์มีความหมายทางศาสนาซ่อนอยู่
- symbols stand for person or incidents
สัญลักษณ์มาจากคนหรือเหตุการณ์
Ex. Bodhi Tree: enlightenment
ต้นโพธิ์ หมายถึง การตรัสรู้
Lotus: purity
ดอกบัว หมายถึง ความสะอาดหมดจด
Six traditional Thai art works ผลงานด้านศิลปะแบบดั้งเดิม
- painting จิตรกรรม
- Sculpture การแกะสลัก
- Architecture สถาปัตยกรรม
- Literature วรรณคดี
- Drama การแสดง
- Music ดนตรี
Conclusion:
- Traditional Thai art works were mainly influenced by Buddhism, Hinduism/ Brahmanism, and animism
ผลงานศิลปะของไทยแบบดั้งเดิมได้รับผลกระทบจากศาสนาพุทธ ฮินดู ความเชื่อเรื่องผีสางเทวดา
- Unrealistic art came from the idea of nothing last forever / life is Maya
ศิลปะแบบไม่จริงมาจากความคิดที่ว่าไม่มีอะไรยั่งยืน หรือ ชีวิตเป็นภาพลวงตา
- In the reign of King Rama V: ในช่วงของ ร. 5
Krom Chang Sip Mu (กรมช่างสิบหมู่) = The Organization of the Ten Crafts. Later became The Department of Fine Arts (กรมศิลปากร)
Religion
Buddhism consists of 6 certain elements ศาสนาพุทธประกอบด้วย 6 อย่าง
- the founder: Buddha
ผู้ค้นพบ: พระพุทธเจ้า
- the teacher: Dhamma
คนสอน: ธรรมมะ
- the followers: the religious people: sangha bhiku and bhikuni, lay people (Upasaka & Upasika), novices(เณร)
ผู้ตาม: คนที่นับถือศาสนาพุทธ
- The system of worship ระบบของการสักการะ
- Religious sanctuaries – the place to worship สถานที่ที่ใช้สักการะ
- Sacred objects – Lord Buddha foot print, relics ของศักดิ์สิทธิ์
Life of Buddha ชีวิตของพระพุทธเจ้า
- Prince Siddhartha Gautama of Sakya clan born in the 6 the century B.C. (543 B.C.)
เจ้าชายสิทธัตถะเกิดเมื่อ 543 ก่อนคริสกาล
- Born at Lumbhini Park (Nepal)
เกิดที่สวนลุมพินี ประเทศเนปาล
- Abandoned the princely life to search for the meaning of life in his early 20’s
เมื่อมีพระชนมายุ 20 พรรษา พระองค์ละทิ้งชีวิตแบบเจ้าชาย
- Left the palace in the middle of a night
ออกจากวังกลางดึก
- Achieved the “Enlightenment” under the Bodhi tree
ตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์
Enlightenment การตรัสรู้
Buddha had discovered that man’s desire is the cause for suffering
พระพุทธเจ้าค้นพบว่า ความต้องการของคนเป็นตัวก่อความทุกข์
Law of karma or kamma or กฎแห่งกรรม
- the law of cause and effect กฎแห่งเหตุและผล
- Karma= the belief in the cumulative of previous actions done in the past life and the present life
กรรม คือ การรวมกันของการกระทำของเราในชาติที่แล้วและชาตินี้
- Karma = consequences of one’s actions
กรรม คือ ผลจากการกระทำ
- Samasara = unending life cycle
เวียนว่ายตายเกิด
Middle Path ทางสายกลาง – ความพอเพียง just enough; not too much and not too little
5 precepts: to abstain from: ศีล 5 ไม่ประพฤติสิ่งต่อไปนี้
- Taking life ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
- Stealing ไม่ขโมยของ
- Committing adultery ไม่ประพฤติผิดในกาม
- Lying ไม่โกหก
- Taking intoxicant ไม่เสพย์ติดของมึนเมา
Religious days วันทางศาสนา
- Visaka Puja วิสาขบูชา
-Commemorable day of the Buddha’s birth, enlightenment and death.
วันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้และ ปรินิพพาน
- Buddhist lent or Rain Retreat เข้าพรรษา
- End of Buddhist lent ออกพรรษา
- Kathin ทอดกฐิน
- ceremony of presenting monastic robes to the monks which held annually at the end of Buddhist lent
การทอดกฐินเป็นการถวายจีวรให้พระ โดยมีปีละครั้งตอนช่วงออกพรรษา
- Tot Pha Pa ทอดผ้าป่า
Monarchy
Sukhothai: Influence of Buddhism
King = Paternalistic = lord father
King = accessible
ในยุคสุโขทัย ศาสนาพุทธส่งผลต่อการปกครอง ในยุคนั้นการปกครองคือพ่อปกครองลูก และประชาชนสามารถเข้าถึงกษัตริย์ได้
Ayuthaya: influence of Buddhism and Hinduism
King= God King
ในช่วงอยุธยากษัตริย์เป็นเหมือนพระเจ้า
Chakri: Rama I = the reconstruction of the Thai State and culture
รัชกาลที่ 1 ไทยสร้างเมืองขึ้นมาใหม่
Rama II –III = the challenge of the west during the age of imperialism
รัชกาลที่ 2 -3 = ลัทธิอาณานิคมของชาวตะวันตก
Rama IV = the period modernization
รัชกาลที่ 4 ทำให้ประเทศเป็นแบบสมัยใหม่
Rama V = the period of reformation
รัชกาลที่ 5 มีการปฎิรูป
Rma VI –VII = the period of nationalism and constitution
รัชกาลที่ 6 – 7 เป็นช่วงเวลาเน้นความรักชาติ และประชาธิปไตย
Rama VII = June 24, 1932 (Bloodless Revolution)
เกิดการปฎิวัติในสมัยรัชกาลที่ 7
King Rama VIII: King Ananda Mahidol รัชกาลที่ 8
- Elder son of H.R.H. Prince Mahidol at Songkla
เป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์
- The first king who born in foreign country
เป็นกษัตริย์องค์แรกที่เกิดเมืองนอก
- Ascended to the throne at the age of 10 while studying in Switzerland
ขึ้นครองราชย์เมื่อมีพระชนมายุได้เพียง 10 พรรษา ขณะนั้นพระองค์กำลังศึกษาอยู๋ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
- The World war II effectively cut him off from his homeland
ในช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่สองพระองค์จึงถูกตัดขาดจากเมืองไทย
- In 1946, King Rama VIII passed away in the grand palace while on a visit
ในปี 1946 รัชกาลที่ 8 เสด็จสวรรคตในพระราชวังระหว่างการมาเยือนเมืองไทย
King Rama IX: King Bhumipol Adulyadej the Great
- His majesty was born in Boston, Massachusetts, USA on December 5th, 1927
พระองค์พระราชสมภพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1927 ณ เมืองบอสตัน รัฐแมสซชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
- He is the youngest son of H.R.H. Prince Mahidol of Songkla and H.R.H. Princess Sri Nakarin.
เป็นพระราชโอรรสในพระโอรสของสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ และพระราชชนนีศรีสังวาลย์
- June 9th, 1946à ascended the throne
พระองค์ขึ้นครองราชในวันที่ 9 มิถุนายน 1946
- 1948à engaged to H.M. Sirikit Kitiyakorn
พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากรทรงมีขึ้นในปี 1948
- 1949à an official proclamation changed the name of country from Siam to Thailand or Land of Free
ในปี1949 ประกาศให้เปลี่ยนชื่อจากสยามเป็นประเทศไทย
- M. helped solve the 2 major incidents of political unrest.
พระองค์ช่วยแก้ปัญหาทางการเมือง
- October 14th, 1973à protest against dictatorial leader
14 ตุลาคม 1973 สู้กับผู้นำเผด็จการ
- May 1992à conflict between Mr. Chamlong Simuang and General Suchinda Kraprayun.
พฤษภาทมิฬเป็นปัญหาระหว่างพล.ต. จำลอง ศรีเมือง กับ พล.อ.สุจินดา คราประยูร
- M. was the first King to visit the poor in the E-san area.
พระองค์เป็นกษัตริย์องค์แรกที่เสด็จไปเยือนประชาชนในแถบอีสาน
- M. found many problems in E-san (Northeastern)
พระองค์ทรงค้นพบปัญหาในแถบอีสาน
- 1987àM. received the title “ The Great”
พระองค์เป็น มหาราชในปี 1987
King Rama IX’s Royal projects โครงการในพระราชดำริ
- Royal artificial rain-making project (1971)à solve the problem of drought
โครงการฝนหลวงช่วยแก้ปัญหาความแห้งแล้ง
- Hill Tribe Development Project (1969)à instead of growing opium, H.M. suggested Hill tribe people to grow other kinds of crop.
พัฒนาชาวเขาโดยการให้ปลูกพืชผลอย่างอื่นแทนการปลูกฝิ่น
- Monkey Cheek’s projectsà help lessening flood problems
โครงการแก้มลิงช่วยลดปัญหาน้ำท่วม
- Chaipattana Foundation มูลนิธิชัยพัฒนา
Support Project by the Queen (1976)
- Support project= the foundation for the promotion of the supplementary occupations and techniques
มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
- Main idea is to help housewives earn extra income by produced handicrafts products.
เป้าหมายหลักคือเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับแม่บ้านโดยการทำงานหัตกรรม
- The project provide villagers with handicraft training:
โครงการนี้ฝึกชาวบ้านให้ทำงานหัตถกรรม
- weaving in Northern Thailand การทอในภาคเหนือ
- Mudmee Silk in Northeastern Thailand ผ้ามัดหมี่ทางอีสาน
- Doll-making in Central Thailand ทำตุ๊กตาในภาคกลาง
- Yan-Lipao Basketry in Southern Thailand ย่านลิเพาในภาคใต้
Traditional Royal Duties หน้าที่ของกษัตริย์
- The Royal Plowing ceremony was revived at his suggestion in 1960. Nowadays it was held annually at Sanam Luang.
พิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ตามคำแนะนำของพระองค์ ในปัจจุบันพิธีนี้มีปีละครั้งที่สนามหลวง
- All new ambassadors present their credentials to His Majesty, and he grants audiences to foreign heads of state and diplomats.
พระองค์อนุญาตให้ท่านทูตและผู้นำประทศต่างๆเข้าเฝ้า
- The Royal Ordination= King Rama IX was ordained at Wat Baworn for 2 weeks. Queen became the Regent.
รัชกาลที่ 9 บวชที่วัดบวรสองอาทิตย์และในตอนนั้นราชินีเป็นผู้สำเร็จราชการแทน
- The Royal Barge Procession is also revived for the king to ride along Chao Praya River on auspicious occasions. (performed in Kathin Ceremony)
พิธีกระบวนพยุหยาตราชลมารคถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่สำหรับให้พระองค์ใช้เดินทางในวันสำคัญ เช่น วันทอดกฐิน
Or download files below:
Midterm:
[wpdm_package id=’12406′]
Final:
[wpdm_package id=’12403′]
Credit: ชีทสรุป ทำเองโดยจีจี้ (ทีมงาน ABACTODAY.com)
5 Comments