Dcondo Groovy Condo KJ place dorm list news

พวกที่ร้องเพลง ชอบการแสดง เข้าวงการบันเทิง พวกดารา ต้องลงนรกชั้น ปหาสะ อย่างแน่น

  • 13 Replies
  • 4952 Views

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

*

Not Biased

  • Guest
อันตรายของวงการบันเทิง พระไตรปิฎก เล่ม 29 หน้า 181
......นักเต้นรำย่อมรวบรวมไว้ซึ่งธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งโมหะ (ความหลง)
ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพแก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น นักเต้นรำนั้น ตนเองก็มัวเมาประมาท ตั้งอยู่ในความประมาท
เมื่อแตกกายตายไป ย่อมบังเกิดในนรกชื่อปหาสะ....


อาชีพที่ลามก พระไตรปิฎก เล่ม 65 หน้า 483
การงานของชาวประมง คนขังปลา และพวกพราน ชื่อว่า ขอบเขตการงานที่ลามก.ความเป็นผู้ฉลาดในการทอดข่ายจับปลา และทำไซดักปลา
และในการวางบ่วงดักสัตว์และการปักขวาก เป็นต้น ชื่อว่า ขอบเขตศิลปะที่ลามก.วิชาที่ทำร้ายผู้อื่นอย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อว่า วิทยฐานะที่ลามก. ปฏิภาณ (ไหวพริบ) ในการแต่งกาพย์ การฟ้อนรำ และร้องเพลง เป็นต้น ที่ประกอบด้วยคำเป็นทุพภาษิต (คำชั่ว) ชื่อว่า ปฏิภาณที่ลามก.


ดนตรีทุกชนิดเป็นของเลวทั้งนั้น พระไตรปิฎก เล่ม 28 หน้า 494
บทว่า ยเถวํ ยงฺกิญฺจิ วีณา นาม มีอธิบายว่า
ไม่ใช่พิณอย่างเดียวเท่านั้นที่เลว ถึงสิ่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับดนตรีทุกชนิดก็เลวเหมือนพิณนั่นแหละ.


"ดังที่คนบันเทิงทุกแขนงกำลัง สร้างสรรค์งาน เพื่อให้เด็กๆรุ่นใหม่ๆเกิดความลุ่มหลงใน วัตถุ แฟชั่น ดนตรี การแสดง ร้อง เต้น เล่นเพลง ทำให้คนกลุ่มใหญ่มากๆ หลงติดกันงอมแงมอยู่ในขณะนี้ และก็ยังคงคิดหาวิธีการผลิตกันมากขึ้นไปเรื่อยๆ โดย เหยื่อเหล่านั้น คือ คนดู ผู้สนับสนุน
เหยื่อล่อ คือ ตัวคนแสดง คนเบื้องหน้า
ส่วนคันเบ็ด และคนตกเบ็ด ก็คือผู้ผลิต และเจ้าของ นั่นเอง

ความจริงนั้นเป็นเช่นไร ?
เขาเหล่านั้นก้าวขาลง ปหาสะนรก ไปแล้วอย่างนั้นหรือ" ?
พวกเขาเหล่านั้นน่าสงสารมากมายอย่างนั้น เชียวหรือ ?

  เพราะอะไรมันถึงเป้นเช่นนั้น เพราะว่า อาชีพดารานักรอง ที่ไม่ได้จัดประเภทอย่างชัดเจนใน 2 ข้อด้านบน อย่างชัดเจน แต่จัดอยู่ในการทำศีลข้อที่ 3 มุสา ด่างพล้อย หรือ ทะลุ เป็นอาจิณ เกิดจากพูดการหลอกลวง พูดเพ้อจ้อ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นการแสดงทั้งผู้แสดงและผู้ดู แต่ก็ทำให้ผู้อื่นเกิดกิเสล(ราคะ โทสะ และโมหะ)คล้อยตาม หรือเพิ่มกิเลสผู้อื่น
กรรมที่ทำถึงแม้ศีลข้อที่ 3 มุสา จะไม่ขาด แต่
1.ศีลข้อ 3 ด่างพล้อยหรือทะลุ เป็นอาจิณ
2.ทำให้ผู้อื่นเกิดกิเลสคล้อยตาม หรือเพิ่มกิเลสผู้อื่น
ก็เป็นกรรมที่จะชักนำไปอบายได้สะดวกแล้ว ตามพระสุตรที่ ยกมา



อันนี้เป้รเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเองนะครับบบบบบบ


สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน  ครั้งนั้นพ่อบ้านนักเต้นรำ นามว่า ตาลบุตร  เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงที่ประทับ  แล้วได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า  “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์เคยได้ยิน  คำของนักเต้นรำผู้เป็นอาจารย์และโบราณาจารย์  ก่อนๆ กล่าวว่า  นักเต้นรำคนใด  ทำให้คนหัวเราะรื่นเริง  ด้วยคำจริงบ้าง  คำเท็จบ้าง  กลางสถานเต้นรำ  กลางสถานมหรสพ  ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไป  ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาผู้ร่าเริง  ในข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า  จะตรัสอย่างไรพระเจ้าข้า ”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า  “ อย่าเลยนายคามณี  จงหยุดคำถามนี้เสียเถิด  ท่านจงอย่าได้ถามคำถามนี้กับเราเลย  ”

เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสแล้ว  ทำให้พ่อบ้านหัวหน้านักเต้นรำ  เกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก  จึงได้พยายามถามเป็นครั้งที่ 2  แต่พระพุทธเจ้าก็ตรัสอย่างเดิม  พ่อบ้านก็คะยั้นคะยอ ถามเป็นครั้งที่ 3

พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า  “ ดูก่อนนายคามณี  เราคงจะห้ามท่านเกี่ยวกับคำถามข้อนี้ไม่ได้แล้ว  เอาล่ะ  เราจะพยากรณ์ให้ท่านทราบ  ดูก่อนนายคามณี  เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลาย  ยังไม่ปราศจากราคะ  โทสะ  โมหะ  อันมีกิเลสเป็นเครื่องผูกราคะ  โทสะ  โมหะ  เข้าไว้  ซึ่งนักเต้นรำเป็นผู้ที่รวบรวมเข้าไว้ซึ่งธรรมะ  อันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด  ในท่ามกลางสถานเต้นรำ  ในท่ามกลางสถานมหรสพ  ยิ่งจะทำให้สัตว์โลกเหล่านั้น  มีความกำหนัดมากยิ่งขึ้น  นักเต้นรำนั้น  ตนเองก็เป็นผู้มัวเมาประมาทอยู่แล้ว  และยังตั้งอยู่ในความประมาทอีก  เมื่อแตกกายตายไป  เขาย่อมบังเกิดในนรกที่ชื่อว่า  ปหาสะ 

*

Buam

  • Guest
แต่ใครได้เอานักร้อง นักแสดง มีความสุขเหมือนขึ้นสวรรค์ัชั้นดาวดึงส์

*

boboverlord

  • SuperStar Member
  • ******
  • 436
  • Gender: Male
  • BBA, Finance, 521xxxx
    • My facebook page
เมื่อก่อนผมก็เชื่ออย่างที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสข้อนี้ไว้นะ แต่พอมาศึกษาในโลกความจริง มันก็ไม่เป็นอย่างนั้นหรอก

วงการบันเทิงสามารถสร้างสรรค์หรือทำลายได้พร้อม ๆ กันขึ้นอยู่กับเจตนาและผลลัพท์ เช่นเดียวกับโลกนี้ที่มีคนรวยมากมาย แล้วก็มีทั้งคนที่รวยโดยการปล้นเงินทางอื่น (แบบอ้อม ๆ ) และคนที่รวยเพราะเขาช่วยเหลือให้ลูกค้าของเขาอยู่ดีกินดี

เหมือนที่วิชาอีคอนว่าไว้ อะไรจะดีจะชั่ว ให้ดูเปรียบเทียบผลประโยชน์ที่ได้รับ กับต้นทุนที่ต้องเสียไป ว่าอย่างไหนมีมากกว่ากัน อาชีพล่าสัตว์ เลี้ยงสัตว์ เลี้ยงปลา เป็นการฆ่าสัตว์ต้ดชีวิตก็จริง แต่ก็เป็นการหล่อเลี้ยงชีวิตจำนวนมากให้อยู่ต่อได้อีกด้วย มนุษย์ไม่ใช่สัตว์กินพืชนะครับ

"ดนตรีทุกชนิดเป็นของเลวทั้งนั้น พระไตรปิฎก เล่ม 28 หน้า 494"

งั้นเรามาดูบทกลอนในพระอภัยมณีดู

"............................
อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป
ย้อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์   

ถึงมนุษย์ครุฑทาเทวราช
จัตุบาทกลางป่าพนาสิน   
แม้นเราเป่าปี่ให้ได้ยิน
ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา
 
ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ
อันลัทธิดนตรีดีนัดหนา   
ซึ่งสงไสยไม่สิ้นในวิญญา
จงนิทราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟัง

แล้วหยิบปี่ที่ท่านอาจารย์ให้
เข้าพิงพฤกษาไทรดังใจหวัง   
พระเป่าเปิดนิ้วเอกวิเวกดัง
สำเนียงวังเวงแว่วแจ้วจับใจฯ "

แล้วก็ บทหนึ่งของพระราชนิพนธ์แปล ในรัชกาลที่ 6 (จากต้นฉบับของ วิลเลี่ยม เช็กเปียร์)

"ชนใดไม่มีดนตรีกาล
ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก

อีกใครฟังดนตรีไม่เห็นเพราะ
เขานั้นเหมาะคิดขบถอัปลักษณ์
ฤาอุบายมุ่งร้ายฉมังนัก
มโนหนักมืดมัวเหมือนราตรี

และดวงใจย่อมดำสกปรก
ราวนรกชนเช่นกล่าวมานี้
ไม่ควรใครไว้ใจในโลกนี้
เจ้าจงฟังดนตรีเถิดชื่นใจ"

ส่วนพวกดารานักแสดงก็คล้าย ๆ กันแหละ บทละครสามารถสร้างความจรรโลงใจและการตกผลึกความคิดได้ พอ ๆ กับทำให้มัวเมาลุ่มหลงนั่นแหละ

(เพราะเหตุนี้มั้ง หลัง ๆ มานี้ผมเลยไม่เชื่อในเรื่องศีลธรรมในศาสนา เพราะไม่มีอะไรผิดแท้ถูกถาวร)
Through The Killing Fields of Life, Survival and Adversity in Moonflowers<br />

*

ออออออออออิ

  • Guest
บ่นไรเยอะแยะ ปัญญาอ่อน กุขีเกียจอ่าน

*

BornForThis

  • Guest
เกิดมาครั้งเดียว ทำอะไรให้สุด กุไม่อยากไปนั่งง่าวเหมือนคนหมดไฟในชีวิต แล้วท่องหนังสือธรรมะอย่างเดียวหรอกนะ





จะบอกอะไรให้ศาสนา ไม่ได้ช่วยให้ใครดีขึ้นได้จริงๆหรอก ศาสนาเม่งทำให้คนเทลาะกันด้วยซ้ำ

นิกายนี้เม่งเขม่นกับนิกายนี้ นิกายนี้ต่อต้านอีกนิกายนึง เป็นเรื่องเป็นราวต่างๆมากมาย

กุอยากถามผู้หญิงใหญ่ทั้งสามว่าก่อนจะตั้งศาสนา ทำไมไม่ปรึกษากันก่อนวะ ???????????

เอาให้มีแค่ศาสนาเดียวไม่ได้รึไง คนเค้าจะได้ไม่ต้องเทลาะกันเป็นสงคราม




จำไว้ไอเจ้าของกระทู้หน้าโง่ "ศาสนาเป็นแค่เข็มทิศในการดำเนินชีวิต แต่อย่าเอามาเป็นก้อนหินที่วางไว้บนหัว"





*

179

  • Guest
ผิดข้อมุสา คือศีลข้อที่ 4 นะค่ะ
ไม่ใช่ข้อ 3  (a04)

สำหรับเราศาสนามีความสำคัญมากค่ะ
ยิ่งเรื่องกฏแห่งกรรมเรายิ่งเชื่อ
 

*

love u too much

  • Guest
BornForThis ไอควาย เกรียนไม่เชื่อก็อย่ามาลบหลู่ศาสนาพุทธของกุ ไอสัด เมิงอย่าปากดี หน้าอย่างเมิงหลอจะประพฤติตนอยู่หลักแหล่งความดี ทุ้ย วันๆเอาแต่สูบบุหรี่ แดกเหล้า กุขอให้แมร่งตกนรกอเวจีใีห้ตายไปเลย ไม่ต้องมาผุดมาเกิด อีกต่อไป ไอชาติหมา ไอพวกชอบดูถูกศาสนา นั้น ศาสนานี้ ดีชั่วอยู่ที่ตัว สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว อีก อย่างเท่าที่กุอ่าน มันก็เป้นการสอนคนอย่างหนึ่ง ให้มิให้หลงใหลไปกับ กิเลส ราคะเท่านั้น ไม่เชื่อก็อย่ามาลบหลู่ ไอควาย หน้าโง่ๆอย่างเมิงมันจะไปเข้าใจอะไร แค่ ศิล 5 เมิงยังไม่มีปัญญารักษาเลย อิดอก แมร่งกุละเกลียดไอพวกที่ชอบดูหมิ่น ดูแคลน ศาสนาจังหวะ กุศาสนาพุทธ กุก็รักศาสนาของกุ คนเหรี้ยๆ อย่างเมิงไม่มีศาสนา เสรือกมาปากดี โชลาว ไอเกรียนเอ้ย สมองแบบเมิงคิดได้แค่นี่ มิหน่าประเทศแมร่งถึงพังย่อยยับ เพราะมีแต่ไอคนถ่อยแบบเมิงมาอาศัยอยู่ ไอกราก เอ้ย

*

น้ำฝน

  • Guest
น่าเกลียด พวกที่คิดดูถูก ปัญญามีคิดได้แค่นี้หรือไง




*

Vivid

  • SuperStar Member
  • ******
  • 239
ดนตรีผิดกฏและหลักศาสนา

ถามว่า มันทำให้ใครเดือดร้อนไหม? น่าจะไม่นะ ... บางทีกฏหรือหลักเกณฑ์ก็ไม่ได้ถูกเสมอไป

*

kata

  • Professor Member
  • ****
  • 96
ถึง Not Biased จะเตือนใคร ก็เตือนอย่างสั้นๆ ตรงๆดีกว่า ไม่ต้องนำมาเยอะแบบนี้ก็ได้

เรานำข่าวมาให้อ่านนะ:)  อ่านหน่อยก็ดี ป้องกันไว้ก่อนก็ดี

       เคยมีกรณี เด็กหญิงวัย 8 ขวบ ดูรายการโทรทัศน์แล้วเลียนแบบผูกคอตาย จนเกิดอุบัติเหตุทำให้เด็กถูกแขวนคอนานกว่า 10 นาทีจนหมดสติ
 กว่าพ่อของเด็กจะรู้และนำส่งรพ.ทัน วันนี้อาการเริ่มดีขึ้นแล้ว

      นพ.อดิศักดิ์  ได้ออกมาเตือนว่า  อยากให้ครอบครัวอย่ามองข้าม สื่อ เด็กมักเลียนแบบพฤติกรรมต่างๆที่ออกมาตามสื่อ
 ควรใส่ใจในคำเตือนของแต่ละรายการ รายการที่เหมาะสำหรับผู้ชมที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป  ควรออกอากาศได้เฉพาะหลัง 22.00 น. แล้วเท่านั้น

วันนี้ผมมี เรื่อง “หาสนรก” หรือ “นรกแห่งความสนุกสนาน” ของ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ มาเล่า เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติทุกฝ่ายให้รู้จักในเรื่อง “ความสนุกสนานแต่พอดี”
 ไม่ทำให้ “สมจริง” เกินไป  เช่น ฉากต่อยท้องผู้หญิงเพื่อข่มขืน หรือฉากแขวนคอ เป็นฉากที่เกินความจำเป็น และสอนให้คนทำตามในสิ่งไม่ดี

“เรื่องนี้เมื่อสมัยที่ พระพุทธเจ้า ยังทรงพระชนม์อยู่ ก็มีคนไปถามพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับเรื่องความสนุกสนานประเภทนี้เหมือนกัน

คือคนคนหนึ่งเขาเป็นนักฟ้อน นักรำ นักเต้นนักรำ ทำให้คนอื่นสบายใจ เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วทูลถามว่า

“ข้าพระองค์นี่เป็นศิลปิน มีหน้าที่ทำคนให้เพลิดเพลินเจริญใจ เมื่อข้าพเจ้าตายแล้ว จะไปเกิดที่ไหน”

พระ ผู้มีพระภาคตรัสว่า “เธอไม่ควรถามปัญหานี้กับเรา” เขาก็รบเร้าเซ้าซี้ถามอยู่อย่างนั้นถึง 3 ครั้ง พระองค์ก็เลยตอบว่า “การกระทำของเธอนี่ ตายแล้วจะไปเกิดในนรก
 นรกขุมนั้นเรียกว่า หาสนรก” หาสะ ก็แปลว่า สนุกสนาน ไปตกนรกความสนุกสนานเพลิดเพลิน

เขาก็ถามว่า “ทำไมข้าพระองค์ทำคนให้สนุกสนาน จึงต้องไปนรก”

พระ ผู้มีพระภาคตอบว่า “เธอทำให้คนหลง ให้ประมาทมัวเมามนการแสดง  เป็นเหตุให้เกิดความเสื่อมในชีวิต จะมีโทษถึงกับ ตกนรก เรียกว่า หาสนรก”

นายคนนั้นได้ฟังแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ คิดว่าการกระทำของเรานี้ เป็นการไม่สมควร ควรจะเลิกได้แล้ว จึงได้เลิกทำการกระทำนั้น หันไปหาอาชีพอื่นทำต่อ

อันนี้ก็เป็น เครื่องแสดงว่า  นรกเกิดจากความสนุกสนาน มันก็มีเหมือนกัน สนุกจนเกินไป เลยเถิดไป แล้วก็สร้างปัญหา คือ ความทุกข์ ความเดือดร้อนให้เกิดแก่ตน แก่ครอบครัว
 ตลอดถึงส่วนรวม”

เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านปัญญาฯ จึงสอนว่า ความสนุกสนานประเภทต่างๆ เช่น มีการเต้นรำ มีการเล่นดนตรี มีการดูหนัง มีการฟังเพลงอะไรต่างๆ
 ซึ่งแม้จะเป็นศิลปะบางประเภทที่เราควรจะรักษาไว้  แต่ก็ ต้องใช้ให้พอดี อย่าให้เกินพอดีไป จนเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนแก่ชีวิตจิตใจด้วยประการต่างๆ

พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสไว้ว่า “ความสนุกสนานเฮฮามากไปนั้น เป็นเหตุให้เกิดความเสื่อม เป็นอบายมุขที่จะนำความทุกข์ ความเดือดร้อนมาสู่ตัวผู้แสดงและบุคคลผู้มาดู”

คือ ว่าเสียทั้งนั้น คนแสดงก็เสีย คนมาดูก็เสีย มันเสียกับทุกฝ่าย เป็นเหตุให้เกิดสิ่งไม่ดีไม่งามขึ้นในจิตใจ ให้เกิดปัญหา คือ ความทุกข์ ความเดือดร้อนด้วยประการต่างๆ
 เรื่องนี้ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ถ้าไม่ได้พิจารณาก็จะมองไม่เห็นตามสภาพที่แท้จริง

ผมก็ได้แต่หวังว่า เทศนาเรื่อง “หาสนรก” ของ ท่านปัญญาฯ ที่นำมาเล่าให้ฟังนี้จะเป็น “เครื่องเตือนสติ”  ท่านที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย ความสนุกสนานก็ต้องมี
 “ความพอดี”  เหมือนกัน ไม่เกินพอดีจนเกิดความทุกข์แก่ทุกฝ่าย.

จาก“ลม  เปลี่ยนทิศ”


แม้ Not Biased นำเวลามาอ่านพระไตรปิฎกจนอยากมาเตือน นั่นก็เป็นเรื่องดีนะ แต่เราอยากบอกว่า.....

พระธรรมทั้งหลาย ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น
"สัพเพ  ธัมมา  นาลัง  อภิวิเน  สายะ"

เคยเป็นแบบนายนี่แหละ แต่พอปฏิบัติและ เห็นของจริงตามจริง เนี่ย ก็รู้ว่าพระธรรมลึกซึ้ง และงดงาม

 ขอให้ระลึกคุณพระรัตนตรัย  นำมาใช้กับค.จริง :)
« Last Edit: April 12, 2013, 10:28:10 PM by kenji »

*

KITTIRAJ

  • Guest
ขอบคุณท่านที่นำมาโพสต์ได้ประโยชน์มากครับแต่ใครจะรับได้แค่ไหนมันขึ้นกับกรรมวิบากปัญญาของเขาอย่าไปโกรธเขาเลยพระพุทธองค์ถึงได้ทรงตรัสถึงบัวสี่เหล่า...ถ้าใครศึกษาดูก็จะเข้าใจ